ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.เสนาดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ที่ระดับ “BBB-" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงผลงานที่เป็นที่ยอมรับของบริษัทในตลาดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับราคาปานกลางถึงต่ำ ตลอดจนผู้บริหารระดับสูงที่มีประสบการณ์ในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงรายได้และกำไรที่คาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากฐานรายได้ที่ค่อนข้างเล็กและแผนการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวซึ่งอาจทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนเพิ่มสูงขึ้นกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความกังวลในระดับหนี้ครัวเรือนที่สูงซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความต้องการที่อยู่อาศัยในระยะสั้นถึงปานกลางอีกด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังว่าบริษัทจะสามารถพัฒนาและส่งมอบโครงการในปัจจุบันและในอนาคตได้ตามแผน แผนการขยายธุรกิจอย่างรวดเร็วจะทำให้อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทควรรักษาอัตราส่วนดังกล่าวเอาไว้ให้อยู่ที่ระดับต่ำกว่า 60% ในขณะที่อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานควรจะอยู่ในระดับประมาณ 20%
อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจโดยที่สถานะทางการเงินไม่ได้อ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญจากระดับปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม หากผลการดำเนินงานและ/หรือสถานะทางการเงินของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงขยายธุรกิจก็อาจส่งผลให้มีการปรับลดอันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตได้
SENA ก่อตั้งในปี 2536 โดยนายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2552 ณ เดือนสิงหาคม 2559 ตระกูลธัญลักษณ์ภาคย์ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทโดยมีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท 50% บริษัทเน้นธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางถึงต่ำที่ราคาเฉลี่ย 2.1 ล้านบาทต่อยูนิตสำหรับคอนโดมิเนียมและ 5 ล้านบาทต่อหลังสำหรับบ้านจัดสรร
ณ เดือนกันยายน 2559 โครงการซึ่งอยู่ในระหว่างการพัฒนาและขายของบริษัทประกอบด้วยคอนโดมิเนียม 8 โครงการและบ้านจัดสรร 13 โครงการซึ่งมีมูลค่าโครงการทั้งหมดเท่ากับ 14,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการของบริษัทมีมูลค่าเหลือขาย (รวมทั้งที่ก่อสร้างแล้วและยังไม่ได้ก่อสร้าง) ประมาณ 6,700 ล้านบาท และมียอดขายรอการรับรู้รายได้ (Backlog) จำนวน 2,800 ล้านบาท โดย Backlog เกือบทั้งหมดมาจากโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทมีแผนการส่งมอบในช่วงที่เหลือของปี 2559 จนถึงปี 2560 ยอดขายของบริษัทอยู่ที่ 3,700 ล้านบาทในปี 2558 และ 3,100 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายของโครงการ The Niche Pride Thonglor Phetchaburi และ The Niche Mono Ratchavipha
ฐานรายได้ของบริษัทมีขนาดค่อนข้างเล็กกว่าผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิต โดยรายได้ของบริษัทในปี 2558 ลดลง 21% จากปีก่อนเหลือ 2,177 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการส่งมอบคอนโดมิเนียมให้แก่ลูกค้าน้อยลง รายได้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เท่ากับ 3,198 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากรายได้ทั้งปีของปี 2558 เนื่องจากการโอนคอนโดมิเนียมโครงการ The Niche Mono Ratchavipha
ณ ปัจจุบัน บริษัทอยู่ในช่วงการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ ในเดือนธันวาคม 2559 บริษัทได้จัดตั้งกิจการร่วมค้าแห่งใหม่ในนาม SENA Hankyu 1 Co., Ltd. กับ Hankyu Realty Co. ,Ltd. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โดยบริษัทถือหุ้นในสัดส่วน 51% และหุ้นส่วนถือหุ้นในสัดส่วน 49% ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนแห่งแรกจะเริ่มเปิดขายในต้นปี 2561
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการใหม่จำนวนมากซึ่งมีมูลค่าโครงการรวมกัน 8,000-10,000 ล้านบาทต่อปีด้วย ดังนั้น รายได้ของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าจึงคาดว่าจะอยู่ที่ 4,000-5,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม จากภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ชะลอตัวและภาวะอุปทานล้นตลาดในบางพื้นที่ บริษัทจึงมีความท้าทายต่อความสำเร็จของโครงการใหม่ที่จะเปิดขาย
นอกจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทยังได้จัดตั้งกิจการร่วมค้าจำนวนมากในช่วงปี 2558 เพื่อพัฒนาอาคารสำนักงานให้เช่า ดำเนินธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และประกอบธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบวิศวกรรม การจัดหาเครื่องจักรและอุปกรณ์ และการก่อสร้าง (Engineering, Procurement, and Construction -- EPC) สำหรับการติดตั้งแผงโซล่าร์เซลล์บนหลังคาสิ่งปลูกสร้างอีกด้วย ทั้งนี้ กำไรสุทธิจากธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 110 ล้านบาท โดย 51% หรือ 56 ล้านบาทได้รับการจัดสรรมาเป็นส่วนแบ่งกำไรของบริษัท สัดส่วนรายได้ที่เพิ่มมากขึ้นจากธุรกิจพลังงานจะช่วยให้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทมีความแน่นอนยิ่งขึ้นและจะส่งผลดีต่ออันดับเครดิต ทั้งนี้ บริษัทมีส่วนแบ่งกำไรจากกิจการร่วมค้าอยู่ที่ 55 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559
อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงาน (ซึ่งคำนวณจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อรายได้) ของบริษัทเท่ากับ 20%-23% ในช่วงปี 2555-2557 และลดลงเป็น 18% ในปี 2558 แต่ปรับตัวดีขึ้นเป็น 27% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 เนื่องจากกำไรที่ปรับตัวดีขึ้นของโครงการคอนโดมิเนียม อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรงอาจส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในอีก 2 ปีข้างหน้าได้ ทั้งนี้ คาดว่าอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทจะรักษาระดับอยู่ที่ประมาณ 20%
อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทปรับตัวดีขึ้นเป็น 43% ณ เดือนกันยายน 2559 จาก 53%-55% ในช่วงปี 2556-2558 เนื่องจากภาระหนี้ที่ลดลงและฐานเงินทุนที่ใหญ่ขึ้น อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนลดลงจาก 1.1-1.2 เท่าในช่วงปี 2556-2558 เป็น 0.8 เท่า ณ เดือนกันยายน 2559 ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ทำให้อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 29% (ปรับเป็นอัตราส่วนเต็มปีด้วยตัวเลข 12 เดือนย้อนหลัง) จาก 9% ในปี 2558 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 9 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 จาก 3-5 เท่าในช่วงปี 2556-2558 อย่างไรก็ตาม อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะสูงขึ้นจากการขยายธุรกิจ ดังนั้น สถานะทางการเงินของบริษัทอาจจะอ่อนแอลงจากระดับปัจจุบัน
สภาพคล่องทางการเงินของบริษัทยังคงพอเพียง โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2559 บริษัทมีเงินสดในมืออยู่ที่ 390 ล้านบาทและมีวงเงินกู้จากธนาคารที่ยังไม่ได้เบิกใช้และไม่ติดเงื่อนไขในการเบิกอีกประมาณ 4,000 ล้านบาทซึ่งพอเพียงกับภาระหนี้ที่จะครบกำหนดจำนวนประมาณ 2,200 ล้านบาทในอีก 12 เดือนข้างหน้า