โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้นบมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) จากความสามารถในการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องช่วยผลักดันกำไรให้เติบโตเพิ่มจากอัตราเติบโตตามปกติ โดยล่าสุดจะเข้าถือหุ้นทางอ้อมราว 20% ในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพซาลัก และดาราจัทที่อินโดนีเซียของเครือเชฟรอน ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว คาดว่าการโอนหุ้นจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 1/60 ช่วยทำให้ EGCO มีกำไรเพิ่มขึ้นราว 800-900 ล้านบาท/ปี และผลักดันมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นอีกราว 8-10 บาท/หุ้น
หุ้น EGCO ยังมี Upside จากศักยภาพที่แข็งแกร่งในการขยายกำลังการผลิตในอนาคตจากทั้งโครงการในต่างประเทศ ขณะที่โครงการในประเทศยังมีโอกาสลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เสริมแทน หากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ของรัฐบาลไม่เป็นไปตามแผน
ราคาหุ้น EGCO อยู่ที่ 201 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท (+0.75%) ขณะที่ SET Index บวก 0.43% +++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) ไทยพาณิชย์ ซื้อ 243 ธนชาต ซื้อ 226 กสิกรไทย Outperform 215 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 220 แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 230 บัวหลวง ซื้อ 230 ยูโอบี เคย์เฮียนฯ ถือ 220
นักวิเคราะห์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ EGCO ในปีนี้จะเติบโตเด่นที่สุดในกลุ่มผู้ผลิตไฟฟ้า ตามกำลังการผลิตใหม่ที่เข้าระบบมากขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมามีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่อย่างโรงไฟฟ้าขนอม ขนาด 930 เมกะวัตต์ ที่เริ่มจ่ายไฟฟ้าเมื่อช่วงกลางปี 59 ก็จะรับรู้กำไรได้เต็มปีในปีนี้ และยังมีโครงการใหม่ที่จะจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบอีก 365 เมกะวัตต์ในปีนี้ก็จะช่วยหนุนผลประกอบการ ทั้งนี้ ประมาณการกำไรสุทธิในปีนี้ของ EGCO ที่ระดับ 9,977 ล้านบาท เติบโตราว 17% จากคาดการณ์กำไร 8,579 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยยังไม่นับรวมการจะเข้าไปถือหุ้น 20.07% ในโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพซาลัก และดาราจัท ซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรเพิ่มขึ้นในปีนี้ และเป็น Upside ต่อราคาหุ้น EGCO ด้วย โดยคาดว่าจะมีการปรับประมาณการใหม่อีกครั้งภายหลังจากที่ EGCO ประกาศผลประกอบการปี 59 ออกมาแล้ว "EGCO มี growth earning ที่เด่นที่สุดในกลุ่ม ปีนี้ก็จะมี earning โตที่สุดในกลุ่มตาม capacity ที่เพิ่มขึ้น จากในปีที่แล้วที่มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่เข้าระบบมามากซึ่งจะรับรู้ได้เต็มปีในปีนี้ และในปีนี้ก็จะมีกำลังผลิตใหม่เข้ามาอีก 365 เมกะวัตต์ในปีนี้ ซึ่งยังไม่นับรวมกำลังผลิตจากการจะเข้าไปถือหุ้นในโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย การเข้าไปในลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ดังกล่าว เป็น positive"นักวิเคราะห์ กล่าว นักวิเคราะห์ กล่าวว่า ปัจจุบัน EGCO มีโรงไฟฟ้าจากพลังงานความร้อนใต้พิภพ ในอินโดนีเซียอยู่แล้ว 1 แห่ง และเมื่อปีที่แล้วโรงไฟฟ้าแห่งนี้ได้รับการอนุมัติปรับขึ้นค่าไฟฟ้าซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรด้วย นอกจากนี้ EGCO ยังมี "positive surprise"ในทุก ๆ ปี สำหรับการลงทุนในโรงไฟฟ้าใหม่ด้วยซึ่งจะช่วยหนุนผลการดำเนินงาน ส่วนโครงการใหม่ที่อยู่ระหว่างศึกษาลงทุน ทั้งโครงการปากเบ่ง ในลาว และโครงการน้ำเทิน 1 ในลาว ก็คาดว่าจะมีความชัดเจนภายในปีนี้ด้วยเช่นกัน บล.กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ว่า โครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนใต้พิภพแห่งใหม่ในอินโดนีเซียนั้น มีทั้งสิ้น 2 โรง ได้แก่ ซาลัก และดาราจัท มีกำลังการผลิตทั้งหมด 637 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย การผลิตไฟฟ้า 402 เมกะวัตต์ และการผลิตไอน้ำ เทียบเท่า 235 เมกะวัตต์ ซึ่ง EGCO เปิดเผยว่าในครึ่งแรกปี 59 โรงไฟฟ้าทั้ง 2 โรงนี้สามารถทำกำไรได้คิดเป็น 10.44% ของกำไรสุทธิของ EGCO ซึ่งคิดเป็น 484 ล้านบาท บนสัดส่วนการเข้าถือหุ้น 20.07% ดังนั้น คาดว่าโรงไฟฟ้านี้จะทำกำไรให้ EGCO ได้ราว 800-900 ล้านบาท/ปี ซึ่งการเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ จะทำให้ EGCO มีกำลังการผลิตไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 3.1% ในไตรมาส 1/60 และทำให้สัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าในประเทศอินโดนีเซียเพิ่มขึ้นจาก 1% เป็น 3% ทั้งนี้ ด้วยสมมุติฐานผลตอบแทนการลงทุน (Equity IRR) ที่ 11-13% ของ EGCO "เราคาดว่า การเข้าทำรายการครั้งนี้จะเพิ่มมูลค่าหุ้นให้ EGCO ได้ถึง 8-10 บาทต่อหุ้น ซึ่งค่อนข้างมีนัยสำคัญ เราจึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" สำหรับ EGCO เนื่องจากมีความสามารถในการขยายธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และเราคาดการณ์กำไรปกติจะเติบโต 8% ระหว่างปี 60-61"กสิกรไทย ระบุ ด้านบทวิเคราะห์บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่ายังมีมุมมองที่เป็นบวกต่อสินทรัพย์ที่ EGCO มีในมือ ทั้งโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี และโรงไฟฟ้าขนอม ซึ่งมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกหลายเฟส ขณะที่ความเสี่ยงที่กำลังการผลิตใหม่ของประเทศ อาจจะเพิ่มได้ไม่ทันตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าระยะยาวปี 2558-2579 (PDP2015) เป็น Upside สำหรับโครงการของ EGCO ซึ่งพร้อมเข้าไปดำเนินการ ทั้งโครงการโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี เฟส 2 ที่มีศักยภาพผลิตไฟฟ้าได้อีก 1,000 เมกะวัตต์ ก็มีโอกาสเข้าไปเสริมแทนถ้าหากมีโครงการใดมีความล่าช้า หรือหากในอนาคตมีการยกเลิกโครงการผลิตไฟฟ้าด้วยถ่านหินตามที่กำหนดไว้ในแผน PDP2015 นอกจากนี้ความไม่แน่นอนของการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่กระบี่อาจจะกลายเป็นโอกาสให้มีการลงทุนในโครงการขนอมเพิ่มขึ้นในอนาคตได้ เพื่อเสริมระบบความมั่นคงทางพลังงานไฟฟ้าในภาคใต้ ซึ่งประเด็นเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยบวกในระยะยาว โดยศักยภาพที่แข็งแกร่งของ EGCO ในการขยายกำลังการผลิตในอนาคตจะเป็น Upside สำหรับราคาหุ้นอีกด้วย สำหรับในปีนี้คาดว่า EGCO จะสามารถทำกำไรเติบโตได้ราว 16.8% จากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้าขนอม และโรงไฟฟ้าใหม่ที่จะเริ่มจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบ ได้แก่ โรงไฟฟ้าทีเจ โคเจน จะเริ่มผลิตในเดือนมิ.ย.60 ,โรงไฟฟ้าทีพี โคเจน และเอสเค โคเจน จะเริ่มผลิตในเดือนต.ค.60