นายนาวิน อินทรสมบัติ รองกรรมการผู้จัดการและประธานบริหารการลงทุนต่างประเทศ บลจ.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 10–16 ม.ค.60 จะเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน ซีโอ (KFF6MCO) ประมาณการผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนคาดว่าจะได้รับที่ 1.70% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 3 เดือน เออาร์ (KFF3MAR) ประมาณการผลตอบแทนที่ผู้ถือหน่วยลงทุนคาดว่าจะได้รับที่ 1.60% ต่อปี
ทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน และสำหรับผู้ลงทุนบุคคลธรรมดาไม่ต้องเสียภาษี
สำหรับ กองทุน KFF6MCO ที่มีอายุโครงการ 6 เดือน เบื้องต้นคาดว่าจะเข้าไปลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation, เงินฝาก Agricultural Bank of China, เงินฝาก Commercial Bank of Qatar, ประเทศกาตาร์, เงินฝาก Union National Bank และเงินฝาก First Gulf Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ยังคาดว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ Qatar National Bank
ด้านกองทุน KFF3MAR ที่มีอายุโครงการ 3 เดือน เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝาก Agricultural Bank of China, เงินฝาก China Construction Bank Corporation, เงินฝาก Union National Bank และเงินฝาก First Gulf Bank, ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นอกจากนี้ยังคาดว่าจะลงทุนในตราสารหนี้ Qatar National Bank และตราสารหนี้ ICBC Ltd. โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน และผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 500 บาท
ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทย ยังได้เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนต่อเนื่องให้กับผู้ถือหน่วยลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดอายุโครงการ (Fixed Term Fund) ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งเมื่อกองทุนครบกำหนดอายุโครงการ บริษัทจัดการจะนำเงินค่าขายคืนอัตโนมัติไปซื้อหน่วยลงทุนที่ผู้ลงทุนเลือกได้กองทุนใดกองทุนหนึ่งใน 3 กองทุน คือ กองทุนเปิดเค ตลาดเงิน (K-MONEY) กองทุนเปิดเค ตราสารรัฐระยะสั้น (K-TREASURY) หรือกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ระยะสั้น (K-SF) ของบลจ.กสิกรไทย
นายนาวิน ให้มุมมองตลาดตราสารหนี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ปรับตัวลงในตราสารระยะยาว ทั้งนี้คาดว่ามาจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ยังออกมามีทั้งเชิงบวกสลับกับเชิงลบ อาทิ ดัชนีภาคการผลิตและค่าใช้จ่ายการก่อสร้างที่ปรับตัวดีขึ้น แต่ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนธันวาคมที่ออกมาน้อยกว่าที่คาด
รวมถึงนักลงทุนรอประเมินทิศทางเศรษฐกิจและนโยบายที่ชัดเจนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะเข้าดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.นี้ อย่างไรก็ตามจากรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มขยายตัวสูงขึ้นในปี 60 ซึ่งจะเกิดจากมาตรการทางการคลังเป็นหลัก ทำให้ FED มีโอกาสปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้ 2-3 ครั้งในปี 60
ด้านเศรษฐกิจไทยยังมีทิศทางขยายตัวได้ดี อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปในเดือนธ.ค.ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตัวเลขการส่งออกในเดือนพ.ย.ที่ขยายตัวดีขึ้น รวมถึงยังมีการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ จึงคาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะดำเนินโยบายผ่อนคลายทางการเงินต่อเนื่อง โดยการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปจนถึงสิ้นปี 60