นายจิระพงษ์ สันติภิรมย์กุล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บมจ. เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทมองโอกาสในการตั้งโรงงานผลิตในต่างประเทศในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า หากยอดขายในต่างประเทศสามารถเติบโตได้ดี โดยอาจจะพิจารณาตั้งโรงงานในประเทศที่มียอดขายดี ซึ่งอาจจะเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นที่มีความชำนาญและมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว
ปัจจุบันยอดขายต่างประเทศของบริษัทจะมาจากประเทศจีนเป็นหลัก รองลงมาเป็นมาเลเซีย ,อินโดนีเซีย ,ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นต้น โดยเชื่อว่าปีนี้สัดส่วนยอดขายในจีน จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มองโอกาสที่จะเพิ่มตัวแทนจำหน่ายในจีน จากปัจจุบันมีอยู่ 2 ราย
ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายปี 67 จะมีรายได้เติบโตแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งการเติบโตจะมาจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการร่วมทุนต่าง ๆ ซึ่งบริษัทได้เจรจากับพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง แต่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้ โดยในช่วง 2-3 ปีนี้ยังคงให้ความสนใจในธุรกิจสาหร่ายก่อน เนื่องจากยังมีโอกาสการเติบโตได้ในระดับที่ดี
สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายเติบโตได้ราว 20% จากปีก่อนที่คาดว่าจะทำได้ตามเป้าหมายมีรายได้เติบโต 18-20% โดยสัดส่วนรายได้จะมาจากในประเทศ 43% และต่างประเทศ 57%
ด้านแผนการเปิดใช้โรงงานแห่งใหม่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เฟสแรก กำลังผลิตประมาณ 2 พันตันต่อปี คาดว่าจะสามารถเปิดได้ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.นี้ โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตรวมอยู่ที่ 6 พันตันต่อปี ซึ่งน่าจะสามารถเดินเครื่องกำลังการผลิตได้ครบทั้งหมดใน 2-3 ปีจากนี้ โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมอยู่ที่ประมาณ 730 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในปีนี้ 300 ล้านบาทเพื่อใช้ซื้อเครื่องจักร
นอกจากนี้ในเรื่องของราคาต้นทุนสาหร่ายที่ปรับตัวขึ้น อาจจะกระทบต่อต้นทุนนั้น บริษัทก็ได้เจรจากับซัพพลายเออร์แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป โดยประเทศหลักที่บริษัทนำเข้าสาหร่ายคือประเทศเกาหลี 80-90% รองลงทุนก็จีนและญี่ปุ่น
นายจิระพงษ์ กล่าวว่า ปีนี้บริษัทเตรียมเดินทางไปให้ข้อมูลแก่นักลงทุน (โรดโชว์) ในต่างประเทศจำนวน 3 ครั้ง โดยจะเน้นในโซนเอเชีย และยุโรป คาดว่าผลจากการโรดโชว์จะทำให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาถือหุ้นเพิ่มเติม ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนการถือหุ้นของนักลงทุนต่างประเทศ อยู่ประมาณ 5-6% สูงขึ้น จากปีก่อนที่มีสัดส่วนถือหุ้นอยู่ที่ 2-3% และยังมีโรดโชว์ในประเทศร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) อีกด้วย
ขณะที่ราคาหุ้นของบริษัทที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมานั้น มองว่าหุ้นของบริษัทเป็นหุ้นที่มีการเติบโต และแบรนด์ของบริษัท บ่งชี้ถึงผู้บริหารที่อายุยังน้อยทำให้ยังมีโอกาสที่จะพาบริษัทประสบความสำเร็จได้อีกมาก ซึ่งบริษัทตั้งเป้าที่จะแบรนด์ระดับโลกในอนาคต
อนึ่ง ราคาหุ้น TKN นับว่าปรับตัวขึ้นโดดเด่นในปีที่ผ่านมา โดยราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ 27.75 บาท พุ่งขึ้นกว่า 593% จากราคาเสนอขายหุ้นให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่ 4 บาท ซึ่งเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นตั้งแต่วันที่ 3 ธ.ค.58