บมจ.แสนสริ (SIRI) ตั้งเป้ายอดขายปี 60 ที่ระดับ 3.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ทะลุเป้าหมายมาที่ 3.11 หมื่นล้านบาท หลังมีแผนเปิด 19 โครงการใหม่ในปีนี้ มูลค่ารวม 4.12 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน
ส่วนรายได้ในปีนี้คาดว่าจะทำได้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 3.4 หมื่นล้านบาท จากการทยอยรับรู้รายได้ยอดขายรอโอน (Backlog) ที่มีอยู่ราว 3.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วง 4 ปี
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ SIRI กล่าวว่า เป้าหมายยอดขายในปีนี้จะเติบโตราว 20% จากปีที่แล้ว นับเป็นอัตราการขยายตัวต่อเนื่องจากปีที่แล้วที่ทำยอดขายได้เติบโต 9% จากปีก่อนหน้า ขณะที่ตามแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 19 โครงการ ซึ่งรวมถึงโครงการร่วมทุนกับบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) จำนวน 4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.2 หมื่นล้านบาทด้วย สำหรับโครงการที่จะเปิดใหม่ในปีนี้ ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ,บ้านเดี่ยว 9 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ซึ่งทั้งหมดจะเป็นโครงการที่อยู่ในเซ็กเมนต์ระดับกลาง-บนเป็นส่วนใหญ่
การเปิดโครงการในปีนี้บริษัทจะแบ่งเป็นการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 1/60 จำนวน 1 โครงการ เป็นโครงการทาวน์เฮาส์ ,ไตรมาส 2/60 จำนวน 4 โครงการ ,ไตรมาส 3/60 จำนวน 1 โครงการ และไตรมาส 4/60 จะเปิดโครงการมากสุดถึง 13 โครงการ ซึ่งส่วนใหญ่การเปิดโครงการในใตรมาสสุดท้ายจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม เนื่องจากบริษัทจะเปิดการขายโครงการคอนโดมิเนียมหลังจากที่ได้รับอนุมัติรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้บริษัทจะนำโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ "บ้านแสนสิริ" กลับมาพัฒนาอีกครั้ง โดยมีมูลค่าโครงการอยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท ราคาขายอยู่ที่ 40-120 ล้านบาท
ขณะเดียวกันบริษัทยังเดินหน้ารุกตลาดลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้ายอดขายลูกค้าต่างชาติอยู่ที่ 7.5 พันล้านบาทในปีนี้ เติบโต 40% จากปีก่อนที่มียอดขายต่างชาติอยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทจะยังคงเดินสายนำโครงการไปขายในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัจจุบันบริษัทยังมีแผนการจัดตั้งสำนักงานขายเพิ่มในประเทศญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน และฮ่องกง จากปัจจุบันมีสำนักงานขายอยู่ในประเทศจีน มณฑลเซี่ยงไฮ้ และสิงคโปร์
สำหรับด้านรายได้ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าอยู่ที่ 3.4 หมื่นล้านบาท ใกล้เคียงปีก่อนที่คาดทำได้ระดับ 3.4 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการรับรู้รายได้จากการทยอยโอนโครงการ รวมมูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการของบริษัทที่จะโอน 8 พันล้านบาท และโครงการร่วมทุนกับบีทีเอส 6 พันล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่ทั้งหมด 3.9 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น Backlog ของบริษัท 1.86 หมื่นล้านบาท และ Backlog ของบริษัทร่วมทุน 2.04 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะมีการทยอยรับรู้รายได้ไนช่วง 4 ปีจากนี้ ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 7-7.5 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ใช้ไป 8 พันล้านบาท โดยการซื้อที่ดินจะเป็นการซื้อรองรับการพัฒนาโครงการในปี 62 และในอนาคต เพราะการเปิดโครงการในปีนี้บริษัทมีที่ดินรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่จะครบกำหนดอายุในเดือนเมษายนนี้ มูลค่า 2 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะออกหุ้นกู้ชุดใหม่มาทดแทนในช่วงไตรมาส 2/60 สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะเติบโตได้ 5% ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนโครงการสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่มีความชัดเจนมากขึ้น ประกอบกับปัญหาภัยแล้งที่ผ่านพ้นไปแล้วทำให้กำลังซื้อขอประชาชนระดับล่างกลับมาฟื้นตัวขึ้น ช่วยทำให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามปัจจัยที่ยังต้องกังวลยังเป็นเรื่องระดับหนี้สินครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับที่สูง ส่งผลต่อการขอสินเชื่อของผู้ที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าระดับล่างที่มีปัญหาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูง โดยปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัทอยู่ที่ 15-20% ซึ่งคาดว่าในปีนี้อาจจะยังคงอยู่ไนระดับดังกล่าว แต่บริษัทก็ได้กระจายการเปิดโครงการในระดับต่าง ๆ โดยแบ่งสัดส่วนเป็นโครงการในระดับบน 30% โครงการระดับกลาง 50% และโครงการระดับล่าง 20% ซึ่งถือเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้บริษัทจะมีการสร้าง Innovation and digital ecosystem โดยการจัดตั้งบริษัทลูกในลักษณะของ Venture Capital ขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุนธุรกิจประเภท “Property Tech" ที่มีความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับธุรกิจหลักของกลุ่มบริษัทแสนสิริ และจะมีส่วนช่วยผลักดันธุรกิจหลักของแสนสิริให้มีประสิทธิภาพและมีความคล่องตัวยิ่งขึ้น รวมถึงมองหาโอกาสและ Innovation ทางธุรกิจและกระบวนการธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่ง โดยคาดว่าธุรกิจใหม่นี้จะเป็นช่องทางรายได้ใหม่ของ แสนสิริได้ในอนาคต โดยมีแผนจะเปิดตัวบริษัทร่วมทุนและให้ข้อมูลโดยละเอียดอีกครั้งในการแถลงข่าววันที่ 25 ม.ค.นี้ ซึ่งการเปิดตัว Property Tech ของบริษัทครั้งนี้ถือว่าเป็นรายแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่มีการจัดตั้ง Venture Capital ขึ้นมา