(เพิ่มเติม) CPL คาดปี 60 พลิกกลับเป็นกำไรตามมาร์จิ้นดีขึ้น,รายได้โต 25% หลังรับโอนกิจการ"แพงโกลิน"

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday January 16, 2017 14:52 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสุวัชชัย วงษ์เจริญสิน รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ซี.พี.แอล.กรุ๊พ (CPL) คาดว่าผลการดำเนินงานจะกลับมามีกำไรในปี 60 หลังจากที่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 59 มีผลขาดทุนสุทธิ 21.27 ล้านบาท โดยการกลับมามีกำไรเป็นผลจากอัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 7-10% เนื่องจากบริษัท อินทิเกรเต็ด เลเธอร์ เน็ตเวอร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนที่ถือหุ้น 40% จะเข้ามาทำหน้าที่รับออเดอร์ซื้อมาขายไปหนังฟอกทุกประเภท และเป็นโกดังเก็บหนังฟอกรอส่งต่อให้กับลูกค้าทั่วภูมิภาค ช่วยให้บริษัทไม่จำเป็นต้องสต็อกวัตถุดิบเป็นจำนวนมากเหมือนที่ผ่านมา ทำให้จะไม่เกิดผลขาดทุนจากการตัดขายสต็อกอีก

ขณะเดียวกันยังได้รับผลดีจากการดำเนินการรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท แพงโกลิน เซฟตี้ โปรดักส์ จำกัด เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เซฟตี้ อุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคลครบวงจรตามมาตรฐานสากล ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มี.ค. และจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 2/60

"ปีก่อนเรามีการตัดขายสต็อกสินค้าประเภทหนังกลับ ที่มีอัตราการใช้ลดลงทำให้ประสบผลขาดทุนบ้าง แต่หลังจากที่เราได้ร่วมทุนในบริษัท อินทิเกรเต็ด เลเธอร์ เน็ตเวอร์ค จำกัด เข้ามาจะช่วยให้เราไม่เกิดปัญหาตรงนี้อีก การบริหารจัดการสต็อกก็จะปรับตัวดีขึ้น นอกจากนี้เรายังจะมีรายได้จาก แพงโกลินฯ ที่จะเข้ามาเป็นสัดส่วน 25% ที่จะเข้ามาช่วยให้ผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งเราก็หวังว่าอัตรากำไรสุทธิจะขึ้นไปถึงระดับ 7-10% ได้"นายสุวัชชัย กล่าว

ทั้งนี้ หลังการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจครั้งสำคัญของบริษัทด้วยการรับโอนกิจการทั้งหมดของบริษัท แพงโกลิน เซฟตี้ โปรดักส์ จำกัด ทำให้ปี 60 จะเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญจากการดำเนินธุรกิจฟอกหนัง ซึ่งเป็นสินค้าขั้นต้น จะขยับไปสู่การผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เซฟตี้ซึ่งเป็นสินค้าขั้นปลาย ทำให้ธุรกิจของบริษัทครบวงจรมากขึ้น บริษัทจึงตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ในปีนี้ไว้ที่ 25%

“การรับโอนกิจการทั้งหมดของแพงโกลินฯ ไม่เพียงแต่จะทำให้ขนาดของสินทรัพย์และรายได้ของ CPL เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญอีกประการ คือ ธุรกิจเซฟตี้ โปรดักส์ จะทำให้อัตรามาร์จิ้นของบริษัทขยับเพิ่มขึ้น จากเดิมที่มาร์จิ้นของธุรกิจฟอกหนังจะคงที่อยู่ที่ประมาณ 3-4%"นายสุวัชชัย กล่าว

นายสุวัชชัย กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจฟอกหนังนั้นก็เชื่อมั่นว่า ปีนี้จะสดใสกว่าปีที่แล้ว โดยในช่วงปลายปี 59 ที่ผ่านมา บริษัทได้รับออเดอร์จากคู่ค้าสำคัญ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรองเท้าแบรนด์ชั้นนำของโลก ซึ่งได้วางแผนการผลิตตั้งแต่ปลายปีแล้ว ขณะที่บริษัท อินทิเกรเต็ด เลเธอร์ เน็ตเวอร์ค จำกัด ที่ทำหน้าที่รับออเดอร์ซื้อมาขายไปหนังฟอกทุกประเภท และเป็นโกดังเก็บหนังฟอกรอส่งต่อให้กับลูกค้าทั่วภูมิภาค ก็จะเริ่มดำเนินการได้เต็มที่มากขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทยังได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการขยายไปสู่สินค้าใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตหนังในหลายรูปแบบ โดยอยู่ระหว่างการหารือกับหลาย ๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นคู่ค้าในประเทศและต่างประเทศ และยังมีการศึกษาการลงทุนใหม่เพิ่มเติมด้วย โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้เร็วที่สุดคือปี 61 เป็นต้นไป

นอกจากนี้บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ราว 100-150 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในการเพิ่มเครื่องจักรและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 2.5 ล้านตารางฟุ/เดือน หรือ 20-24 ล้านตารางฟุต/ปี สำหรับเงินลงทุนจะมาจากกระแสเงินสด และการกู้เงินจากสถาบันทางการเงิน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่ 0.5 เท่า

นายสุวัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังได้ตั้งเป้าหมายรายได้จะขึ้นไปแตะระดับ 3 พันล้านบาท ภายใน 3 ปี (ปี 60-62) โดยการเติบโตจะมาจากการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มธุรกิจการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เซฟตี้ ซึ่งเป็นสินค้าขั้นปลายได้มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจฟอกหนังเชื่อว่าจะมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับการประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 ก.พ. นี้ บริษัทเตรียมพิจารณาเรื่องการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลประกอบการงวดปี 59 ถึงแม้ว่าในปีที่ผ่านมาบริษัทอาจจะมีผลขาดทุน แต่อย่างไรก็ตามยังคงมีกำไรสะสมที่จะสามารถมาพิจารณาการจ่ายปันผลได้ โดยที่ผ่านมาบริษัทจ่ายปันผลมาโดยตลอด ในระดับ 3-5% ของกำไรสุทธิ

"ปีที่ผ่านมาถึงแม้เราจะมีผลขาดทุนก็ตาม แต่เรายังคงยึดมั่นที่จะทำตามนโยบายและรักษาสถิติการปันผลอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาเราก็มีการปันผลอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว สำหรับงวดปี 59 เราก็จะยังดำเนินการตามแผนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นการปันผลอยู่แล้วที่ 3-5%"นายสุวัชชัย กล่าว

ด้านนายภูวสิษฏ์ วงษ์เจริญสิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท แพงโกลิน เซฟตี้ โปรดักส์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของธุรกิจเซฟตี้ โปรดักส์ หรืออุปกรณ์นิรภัยส่วนบุคคล ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมูลค่าตลาดอุปกรณ์นิรภัยของไทย ถือว่าเป็น 1 ใน 3 ของตลาดทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีการคาดการณ์ว่าตลาดอุปกรณ์นิรภัยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางจะมีมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้น 7.8% ภายในระยะเวลา 6 ปี เนื่องจากความต้องการอุปกรณ์นิรภัยเพิ่มสูงขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจก่อสร้าง ที่ต้องใช้อุปกรณ์นิรภัยในการป้องกันระหว่างการทำงาน นอกจากนี้ หน่วยงานรัฐยังให้ความสำคัญกับการสร้างเสริมความปลอดภัยในองค์กรและโรงงานอุตสาหกรรมมากขึ้นด้วย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ