นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า บริษัทปรับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นภายใน 2-3 ปี หรือในปี 61-62 จากเดิมที่คาดว่าจะสามารถจดทะเบียนในตลาดฯได้อีก 3-5 ปี เนื่องจากการดำเนินการตามแผนต่าง ๆ ทำได้ดีกว่าที่คาด และเพื่อที่จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนมาใช้ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้ครบถ้วนมากขึ้น
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานของบริษัทปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในปี 59 มีผลประกอบการที่เป็นกำไรสุทธิแล้ว หลังจากที่มีผลขาดทุนมาตลอดระยะเวลา 9-10 ปีที่ผ่านมา และในปีนี้ก็ยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการจะออกมามีกำไรและเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หลังมุ่งเน้นการเพิ่มรายได้จากการขยายงานด้านการให้บริการเกี่ยวกับการบริหารเงินทุนส่วนบุคคล โดยล่าสุดได้เปิดตัว Islamic Private Fund ที่มีการลงทุนตามหลักศาสนาอิสลาม ซึ่งใน 7 เดือนที่ผ่านมาถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีมากจากนักลงทุนมุสลิม
นายวิน กล่าวอีกว่า สำหรับธุรกิจอื่น ๆ ของบริษัททั้งในส่วนการเป็นตัวแทนขายหน่วยลงทุนและตราสารหนี้ ยังมีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในส่วนของธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ก็เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1.9% จากช่วงต้นปี 59 อยู่ที่ 0.7% และมีบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวมากกว่า 7,000 บัญชี จากบัญชีทั้งหมดที่ 40,000 บัญชี โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการหาลูกค้าที่มีคุณภาพ ต้องการลูกค้าที่ซื้อขายหุ้นจริง ๆ และยินดีจะจ่ายค่าคอมมิชชั่นสูง โดยได้พัฒนาบทวิเคราะห์เพื่อเป็นจุดดึงดูดลูกค้าซึ่งปัจจุบัน KTBST เป็นโบรกเกอร์ที่เผยแพร่บทวิเคราะห์มากที่สุดในอุตสาหกรรม
"ก่อนหน้านี้เราหวังที่จะเข้าไปจดทะเบียนในตลาด mai ก็อีก 3-5 ปี แต่ตอนนี้เราคิดว่าคงจะเร็วกว่าเดิม เพราะเราอยากได้เงินเพื่อที่จะมาพัฒนาบริษัทฯให้มีศักยภาพ และมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ ที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็ได้ปรับตัวมาจนถึงผลประกอบการออกมามีกำไรในปี 59 แล้ว ซึ่งในปี 60 เราก็ยังคงมั่นใจว่าผลประกอบการจะออกมามีกำไรและเติบโตต่อไปอีก"นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ตั๋วแลกเงิน (B/E) ที่ขณะนี้ผู้ออกบางรายประสบปัญหาผิดนัดชำระหนี้ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาอาจจะออกมาโดยไม่มีความรอบคอบ หรือบางรายที่แก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ได้ ก็อาจจะเจอปัญหา อย่างไรก็ตามบริษัทยังแนะนำว่าการลงทุนในตั๋ว B/E สามารถลงทุนได้ เนื่องจากการขายอยู่ในวงจำกัด ซึ่งผลกระทบต่อกองทุนมีเพียง 10-15% ถือว่าเป็นระดับที่ไม่มาก และนักลงทุนก็จะยังคงได้รับเงินต้นทุนอยู่แล้ว แม้ว่าส่วนเกินอาจจะหายไปบ้าง แต่มองว่าคุ้มค่าต่อการเข้าลงทุน ทั้งนี้ ที่ผ่านมาผู้ออกที่มี บริษัทเป็นที่ปรึกษาก็ไม่เคยประสบปัญหา และให้ผลตอบแทนที่ดีอีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทเป็นที่ปรึกษาออกตั๋ว B/E อยู่ทั้งหมดราว 8,000 ล้านบาท
ส่วนแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้ มองกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,400-1,650 จุด บนระดับ P/E ที่ 17 เท่า โดยในช่วงที่ผ่านมาดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะมีการปรับลดอัตราภาษีให้กับนิติบุคคล และบุคคลธรรมดา อย่างรวดเร็วและแรง โดยมองว่าในช่วงสั้นนี้มีโอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะลงมาทดสอบที่ระดับ 1,540 จุดอีกครั้ง จากแรงขายทำกำไร โดยแนะนำว่าในให้ขายทำกำไรบางส่วนออกมาในภาวะที่หุ้นปรับขึ้นมามากแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
สำหรับการปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นไทยไปที่ระดับ 1,600-1,650 จุดนั้น คาดว่าจะเป็นไปได้ในช่วงไตรมาส 1/60 นี้ ซึ่งยังต้องติดตามนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่มีขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค.หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี โดยหากมีนโยบายที่ดีก็จะเป็นโอกาสที่ทำให้มี Sentiment การลงทุนที่ดีขึ้น และอาจจะขึ้นไปถึง 1,650 จุดได้ ส่วนปัจจัยที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิดคือ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่จะมีแรงกดดันต่อการลงทุนอยู่อย่างต่อเนื่อง และการเลือกตั้งของประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี และอิตาลี ที่จะมีผลต่อความมั่นคงของสหภาพยุโรปว่าจะคงอยู่หรือไม่
ส่วนปัจจัยในประเทศที่ยังคงต้องติดตาม ได้แก่ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจซึ่งปัจจุบันนักลงทุนเริ่มมาให้ความสนใจกับนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะในส่วนของการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ หากมีอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยมีโอกาสเติบโตมากกว่า 3.2%
นายวิน กล่าวว่า ช่วงสั้นแนะนำปรับพอร์ตการลงทุน โดยเป็นการลงทุนในตลาดหุ้นไทย 30-40% ,กองทุนอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ 20% ,ลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว 10% และลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 20-25% เพื่อที่จะใช้มาลงทุนในตลาดหุ้นหลังจากดัชนีปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า 1,500 จุด
"เราคงยังต้องระมัดระวังการลงทุนในช่วงนี้ เพราะต้องติดตามว่าในวันที่ 20 ม.ค. นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่บอกได้ว่าตลาดฯจะดีหรือไม่ดีได้ เพระทุกคนคาดหวังว่าจะมีการลดภาษี ที่เร็วและแรง ทั้งนิติบุคคลและคนธรรมดา หากมีผิดพลาดตรงนี้ อาจจะทำให้ตลาดลงได้ แต่หากออกมาตามแบบที่ได้ให้นโยบายไว้ และพูดจาไม่บาดหูนักเราก็เชื่อว่าจะผลักดันดัชนีบ้านเราไปถึง 1,600-1,650 จุดได้"นายวิน กล่าว