น.ส.เบญจมา มาอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทวายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ทิศทางราคาทองคำโลกในช่วงสั้นระยะสัปดาห์นี้มีแนวโน้มขาขึ้น โดยให้จับตาการแถลงของนางเทเรซาร์ เมย์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษบ่ายวันนี้เกี่ยวกับการแยกตัวออกจากสภาพยุโรป (EU) อาจส่งสัญญาณการใช้วิธีการแข็งกร้าว (Hard Brexit) ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้นักลงทุนลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงและเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เป็นปัจจัยหนุนราคาทองช่วงสั้น โดยมองแนวต้านที่ 1,223-1,225 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเงินบาทที่ 20,500 บาท/บาททองคำ จากปัจจุบันที่ 1,210 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือเงินบาทที่ 20,300 บาท/บาททองคำ
นอกจากนี้ นักลงทุนยังไม่แน่ใจเกี่ยวกับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐที่จะเข้ารับตำแหน่งศุกร์นี้ เพราะก่อนหน้านี้ (สัปดาห์ที่แล้ว) การแถลงของนายทรัมป์ไม่ได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนทำให้ขายสินทรัพย์เสี่ยง ก็เป็นปัจจัยบวกต่อทองคำ ดังจะเห็นจากราคาทองคำที่ปรับขึ้นจากช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน ผู้ที่ลงทุนในทองคำตั้งแต่ต้นปีที่อยู่ที 1,151 ดอลลาร์/ออนซ์ จนถึงปัจจุบันที่ 1,210 ดอลลาร์/ออนซ์ ได้ผลตอบแทนถึง 5% แล้ว ขณะที่ปี 59 ทั้งปีการลงทุนในทองคำให้ผลตอบแทนราว 8.55% ก็ถือว่าสูงและยังรักษาช่วงบวกได้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้นแนะนำให้นักลงทุนเข้าซื้อเมื่อราคาย่อตัวลงมาบริเวณแนวรับ และรอไปขายทำกำไรเมื่อราคาดีดตัวขึ้นไปหรือตามบริเวณแนวต้านต่างๆ อย่างไรก็ตาม เน้นย้ำว่านักลงทุนระยะสั้นควรวางแผนการลงทุนที่ชัดเจน มีจุดเข้าซื้อ จุดขายทำกำไร หรือจุดตัดขาดทุน และปฏิบัติตามแผนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด
"ทองคำยังลงทุนได้อยู่ เก็งกำไรก็เป็นโอกาส เพราะราคาผันผวน และต่อให้ทองเป็นขาลงก็อยากให้ถือทองไว้บ้างเพราะช่วยพอร์ตลงทุนมีสินทรัพย์ที่ปลอดภัย มี hedging ไว้ก็ถือเป็นทางเลือกที่ดีได้ ระยะนี้ fund flow ไหลเข้ากลับทองแล้ว หลังไตรมาส 4 SPDR ขายมาตลอด แต่สัปดาห์ที่แล้วซื้อ สะท้อนว่า fund flow ไหลเข้า"น.ส.เบญจมา กล่าว
ในทางเทคนิค หากราคายืนที่ 1,210 ดอลลาร์/ออนซ์ได้ก็จะเกิดสัญญาณซื้อที่จะทำให้ราคาทองปรับขึ้นต่อไปทดสอบแนวต้านหลักที่ 1,223-1,225 ดอลลาร์ ถ้าหากได้ก็จะทำให้มุมมองระยะไกลเป็นบวกมากขึ้น โดยมีแนวรับที่ 1,200 ดอลลาร์/ออนซ สามารถเข้าซื้อเก็งกำไรได้
อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาทองคำในระยะยาวทั้งปี 60 ยังมองเป็นขาลง ให้แนวรับที่ 1,090-1,100 ดอลลาร์/ออนซ์ จากปัจจัยลบการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หากปีนี้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งตามคาดหรือปรับขึ้นในอัตราที่รวดเร็วและมากกว่า 3 ครั้ง อาจยิ่งหนุนสกุลเงินดอลลาร์ให้แข็งขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยกดดันราคาทองคำในปีนี้
ส่วนการคาดการณ์ในเชิงบวกต่อนโยบายของนายทรัมป์ หากในปีนี้ยังสามารถเรียกความเชื่อมั่นของนักลงทุนได้ ก็จะส่งผลให้สินทรัพย์เสี่ยงพุ่งขึ้นต่อเนื่อง จึงเป็นอีกปัจจัยที่กดดันการฟื้นตัวของราคาทองคำได้ และต้องเน้นจับตาความเคลื่อนไหวของกองทุน SPDR ในปีนี้อย่างใกล้ชิด
ขณะที่เรื่อง Brexit ที่อังกฤษจะเริ่มดำเนินการภายในเดือน มี.ค.60 หากกระบวนการถูกผลักดันด้วยวิธีการ Hard Brexit เป็นปัจจัยที่กลับมาหนุนทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ด้านความไม่แน่นอนทางการเมืองในยุโรป ในปีนี้จะมีการจัดการเลือกตั้งทั้งในเยอรมัน, ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ หากเกิดการพลิกขั้วอำนาจทางการเมืองไปสู่พรรคการเมืองฝ่ายขวาจัดก็อาจนำมาซึ่งการจัดทำประชามติขอแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปทั้งในฝรั่งเศสและเนเธอร์แลนด์ได้ ซึ่งจะหนุนราคาทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเช่นกัน
"หากในปีนี้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้น้อยกว่า 3 ครั้ง หรือหากนโยบายทรัมป์สร้างความผิดหวังและทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลงอาจส่งผลให้สกุลเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าและหนุนราคาทองคำให้ฟื้นตัวได้ นอกจากนี้ หากดีมานด์ทองคำจาก 2 ตลาดหลักอย่างจีนและอินเดียฟื้นตัวกลับสู่ปริมาณปกติก็จะสร้างแรงหนุนและชะลอการปรับตัวลงของราคาทองคำได้เช่นกัน"น.ส.เบญจมา กล่าว
ทางเทคนิค ราคาทองมีโอกาสทดสอบ High เดิมของปี 59 ที่บริเวณ 1,375 ดอลลาร์/ออนซ์
สำหรับพอร์ตลงทุนระยะยาวมองสัดส่วนลงทุนทองคำที่ 10-20% ของพอร์ตลงทุนถือว่าเหมาะสมยังสามารถลงทุนได้ แต่ถ้าเกิน 20% ก็จะเป็นเก็งกำไร