บลจ. แอสเซท พลัส ตั้งเป้า AUM ปีนี้ 5.5 หมื่นลบ. โต 25% มองดัชนี SET สิ้นปีที่ 1,680 จุด

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday January 19, 2017 10:30 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แอสเซท พลัส (Asset Plus) เปิดเผยว่า บริษัทฯตั้งเป้าหมายมูลค่าทรัพย์สินภายใต้การบริหาร (AUM) ปี 60 อยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 25% จากปี 59 ที่มี AUM ราว 4.35 หมื่นล้านบาท โดยจะเติบโตมาจากกองทุนรวม 1 หมื่นล้านบาท และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทฯยังคงมุ่งนำเสนอทางเลือกในการลงทุนที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ลงทุน สอดรับกับระดับความเสี่ยงที่รับได้และสอดคล้องกับสภาวะตลาด

โดยด้านธุรกิจกองทุนรวมจะมุ่งเน้นไปที่การจัดตั้งกองทุนใหม่ในกลุ่มตราสารหนี้ต่างประเทศที่มีสภาพคล่องสูงและให้โอกาสรับผลตอบแทนที่ดีเพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ยังคงต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่ดึงดูดใจท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยในประเทศที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับการบริหารจัดการกองทุนที่มีอยู่แล้วโดยเฉพาะกองทุนรวมหุ้นทั้งในและต่างประเทศให้มีโอกาสรับผลตอบแทนอยู่ในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเตรียมรุกขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมผ่านทางธนาคารพาณิชย์ และขยายพันธมิตรผู้สนับสนุนการขายและรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพื่อให้ผู้ลงทุนได้รับความสะดวกเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้บลจ. แอสเซท พลัส ได้เสนอขาย กองทุนเปิด ASP-DPLUS ซึ่งเน้นลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งในต่างประเทศและในประเทศ อายุเฉลี่ยของตราสารประมาณ 3-6 เดือน สภาพคล่องสูง ซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ กรณีขายคืนจะได้รับเงินในวันทำการถัดไป (T+1) พร้อมนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน โดยเสนอขายครั้งแรก (IPO) ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค. – 1 ก.พ.60 โดยจะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นและเงินฝากของธนาคารพาณิชย์ชั้นนำในกลุ่มประเทศตะวันออกกลาง จีนและตุรกี รวมถึงบริษัทเอกชนในไทย

สำหรับกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ เดลี่ พลัส เพื่อผู้ลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อย (ASP-DPLUS) เป็นกองทุนรวมตราสารหนี้สำหรับผู้ลงทุนที่ไม่ใช่รายย่อย มีนโยบายลงทุนในตราสารหนี้ หรือเงินฝาก โดยสามารถลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศได้ไม่เกินร้อยละ 79 ของมูลค่าทรัพย์สินของกองทุน ระดับความเสี่ยงในการลงทุน 4.5 มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน สภาพคล่องสูงสามารถซื้อ-ขายได้ทุกวันทำการ

นายรัชต์ กล่าวว่า มุมมองตลาดหุ้นไทยในปีนี้ บริษัทฯคาดดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) สิ้นปี 60 จะอยู่ที่ 1,680 จุด บน PE 13 เท่า โดยประเมินกำไรของตลาด (EPS) จะเติบโต 12% จากปีก่อน โดยมองว่าเศรษฐกิจไทยจะยังคงได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ ส่งผลต่อการบริโภคภายในประเทศปรับตัวดีขึ้นจากราคาสินค้าเกษตรที่สูงขึ้น อีกทั้งจะได้รับอานิสงส์ด้านการส่งออกที่ดีขึ้นหลังเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัว ขณะเดียวกันทิศทางดอกเบี้ยนโยบายจะยังทรงตัวในระดับต่ำต่อไปเพื่อเอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ

ส่วนปัจจัยต่างประเทศ มองว่าตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกในปีนี้ยังเผชิญความผันผวนและมีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด โดยบริษัทมีมุมมองเป็นบวกต่อตลาดญี่ปุ่น ซึ่งมีแนวโน้มเศรษฐกิจที่ดีขึ้นและยังจะได้ประโยชน์จากนโยบายการเงินที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและโอกาสที่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรี ของญี่ปุ่น อาจได้รับการยอมรับให้ดำรงตำแหน่งต่อไปทำให้นโยบายเศรษฐกิจสามารถดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง

ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดว่าจะสามารถเติบโตต่อไปได้โดยมีแรงหนุนจากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดยเฉพาะนโยบายลดภาษีรายได้นิติบุคคล และบุคคลธรรมดา จะหนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกเติบโตอย่างมาก หากสามารถนำมาดำเนินการได้จริง เนื่องจากจะช่วยให้กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) และกำลังซื้อในสหรัฐฯเติบโต ขณะที่ประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายทั้งหมด 2 ครั้งภายในปีนี้โดยจะปรับขึ้น 1 ครั้งในเดือนมิ.ย. และและอีก 1 ครั้งในเดือนธ.ค.

ขณะที่ตลาดจีน เชื่อว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตได้ตามเป้าหมาย โดยการดำเนินนโยบายอย่างเข้มงวดของทางการจีนจะช่วยคลายความกังวลเรื่องภาวะฟองสบู่และไม่เกิด Hard Landing อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาผลกระทบจากนโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลต่อจีนมากน้อยเพียงใด

ส่วนตลาดหุ้นยุโรป แม้เศรษฐกิจจะยังได้อานิสงส์จากมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แต่ยังต้องจับตาผลกระทบจากการเลือกตั้งในหลายประเทศที่จะเกิดขึ้นในปีนี้

นายรัชต์ กล่าวถึงกลยุทธ์การลงทุนในปีนี้ มองหุ้นที่น่าสนใจ ได้แก่ หุ้นที่ได้รับประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศ CLMV หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ ตลอดจนหุ้นของบริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ แนะนำผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เลือกกระจายสินทรัพย์ลงทุน (Asset Allocation) โดยอาจเลือกลงทุนใน หุ้นไทย 40% หุ้นต่างประเทศ 10% ตราสารหนี้ 40% และสินทรัพย์ทางเลือก เช่น น้ำมัน ทองคำ หรืออสังหาริมทรัพย์ ประมาณ 10%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ