ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.ดุสิตธานี (DTC) ที่ระดับ “BBB+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนถึงชื่อเสียงของบริษัทในฐานะผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมรายใหญ่ของไทยและฐานะการเงินที่ดี นอกจากนี้ การจัดอันดับเครดิตยังพิจารณาถึงโรงแรมในเครือของบริษัทที่กระจายตัวอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญๆ ตลอดจนโอกาสในการขยายธุรกิจบริหารโรงแรมและธุรกิจการศึกษาของบริษัทด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสนับสนุนดังกล่าวลดทอนลงไปบางส่วนจากการแข่งขันที่รุนแรง ตลอดจนความผันผวนและความอ่อนไหวต่อปัจจัยภายนอกซึ่งเป็นลักษณะของธุรกิจโรงแรม
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงนโยบายทางการเงินแบบอนุรักษ์นิยมของบริษัทและโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจบริหารโรงแรมและธุรกิจการศึกษา โดยบริษัทได้รับการคาดหมายว่าจะเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน เพื่อต้านทานธรรมชาติที่ผันผวนของอุตสาหกรรมโรงแรมและพยุงสถานะเครดิตของบริษัทเอาไว้ให้ได้ อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับขึ้นหากบริษัทสามารถปรับปรุงความสามารถในการทำกำไรและสร้างกระแสเงินสดได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตของบริษัทอาจถูกปรับลดลงหากอัตรากำไรของบริษัทอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% ในระยะเวลาที่ต่อเนื่อง
DTC เป็นหนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมชั้นนำของไทยซึ่งดำเนินงานและให้บริการบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ ดุสิตธานี ดุสิตปริ้นเซส ดุสิตดีทู ดุสิตเทวารัณย์ และดุสิตเรสซิเดนซ์ บริษัทก่อตั้งในเดือนกันยายน 2509 โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปี 2518 ทั้งนี้ ท่านผู้หญิงชนัตถ์และผู้เกี่ยวข้องดำรงสถานะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มาตั้งแต่หลังการจดทะเบียนบริษัทโดยปัจจุบันถือหุ้นรวมกันในสัดส่วน 49.7%
บริษัทได้เปิดดำเนินการโรงแรม 5 ดาวในชื่อ “ดุสิตธานี" ใน กรุงเทพฯ เป็นแห่งแรกในปี 2513 ปัจจุบันกลุ่มดุสิตธานีมีโรงแรมทั้งหมด 10 แห่ง ด้วยจำนวนห้องรวม 2,846 ห้อง ซึ่งรวมโรงแรม 3 แห่งของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดุสิตธานีด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานและเป็นโรงแรมภายใต้ระบบแฟรนไชส์ของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศจำนวนรวม 3,840 ห้องอีกด้วย
นอกจากธุรกิจโรงแรมแล้ว บริษัทยังดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวกับการศึกษาและการฝึกอบรมด้วย โดยธุรกิจการศึกษาของบริษัทประกอบด้วย วิทยาลัยดุสิตธานี โรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม เลอ กอร์ดอง เบลอ ดุสิต และธุรกิจด้านการอบรมอื่น ๆ ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 รายได้หลักของบริษัท 90% มาจากธุรกิจโรงแรม รองลงมาคือธุรกิจการศึกษาซึ่งคิดเป็น 8% ของรายได้รวม
ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อ่อนตัวลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 73% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 74% อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนอยู่ที่ 3,635 บาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้อัตรารายได้ต่อห้องพักที่มีอยู่ (Revenue Per Available Room -- RevPAR) ลดลง 1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 2,651 บาทต่อคืน
โดยภาพรวมแล้ว โรงแรมของบริษัทในประเทศไทยมีผลการดำเนินงานที่ดีหรือใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า ในขณะที่โรงแรมในมัลดีฟส์ ภูเก็ต และหัวหินมี RevPAR ลดลง 8%, 4%,และ 6% ตามลำดับ นอกเหนือจากการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดทั้ง 3 แห่งดังกล่าวแล้ว ผลกระทบของจำนวนนักท่องเที่ยวจากประเทศรัสเซียและภูมิภาคตะวันออกกลางที่ลดลงก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของโรงแรมของบริษัทในมัลดีฟส์และภูเก็ตด้วย
บริษัทบันทึกรายได้จำนวน 3,799 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ซึ่งเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายดีขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 17.14% จาก 16.92% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม อัตรากำไรของบริษัทยังคงถูกกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมและความสามารถในการตั้งราคาห้องพัก รวมถึงผลขาดทุนจากธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมในประเทศจีนและโรงเรียนดุสิตธานีการโรงแรม ซึ่งบริษัทกำลังดำเนินการเพื่อปรับปรุงผลการดำเนินงานในธุรกิจทั้ง 2 ประเภทดังกล่าว
ทริสเรทติ้งคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2560 จะใกล้เคียงหรือน้อยกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย จากการอยู่ในช่วงเวลาแห่งการถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งมีผลต่อการใช้จ่ายเพื่อการจัดงานเลี้ยงและงานรื่นเริงต่างๆ ที่ชะลอตัวลงในช่วงไตรมาส 4 ของปี และคาดว่ารายได้ของบริษัทจะเติบโตที่ระดับ 2%-3% ต่อปีในช่วงปี 2560-2562 และอัตรากำไรคาดว่าจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี
ฐานะการเงินของบริษัทได้รับการสนับสนุนจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบระมัดระวัง โดยบริษัทมีสภาพคล่องและโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับที่ดี อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 42.83% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 6.17 เท่าและอัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 33.36% ณ เดือนกันยายน 2559
ในอนาคตบริษัทจะยังคงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงภายในอุตสาหกรรม ทั้งนี้ บริษัทมีแผนกลยุทธ์มุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนโรงแรมที่บริษัทรับบริหารกิจการโดยบริษัทได้ลงนามในสัญญาให้บริการบริหารกิจการโรงแรมและอยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ประกอบการโรงแรมใหม่ ๆ หลายรายทั้งในประเทศจีน ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ประเทศออสเตรเลีย และอีกหลาย ๆ ประเทศ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะขยายธุรกิจการศึกษาทั้งภายในประเทศและต่างประเทศด้วย หากแผนดังกล่าวประสบความสำเร็จ รายได้จากธุรกิจบริหารกิจการโรงแรมและการศึกษาจะช่วยให้ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอีกทั้งยังเพิ่มความหลากหลายของแหล่งรายได้ให้แก่บริษัทอีกด้วย
ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงสถานะสภาพคล่องในระดับที่ดีในระยะ 12 เดือนข้างหน้า ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 900-1,000 ล้านบาทในปี 2560 บริษัทยังมีวงเงินกู้ยืมที่ยังไม่ได้เบิกใช้อีกประมาณ 280 ล้านบาทและมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนกันยายน 2559 อีกจำนวน 1,093 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระหนี้ที่จะครบกำหนดชำระประมาณ 400 ล้านบาทในปี 2560 และมีแผนลงทุนรวมประมาณ 820 ล้านบาทซึ่งโดยส่วนใหญ่จะใช้ในการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและการศึกษาซึ่งเป็นธุรกิจร่วมทุนในประเทศฟิลิปปินส์และเพื่อใช้ปรับปรุงโรงแรมดุสิตธานี มะนิลา
แม้ชื่อเสียงของบริษัทจะเป็นที่ยอมรับ แต่ทริสเรทติ้งยังมีความกังวลต่อความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวของบริษัทจากการที่โรงแรมของบริษัทมีอายุการใช้งานมายาวนานและบริษัทมีการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ไม่สูงนัก เมื่อพิจารณาจากภาระที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว ทริสเรทติ้งเห็นว่าบริษัทยังมีระดับความสามารถในการก่อหนี้และลงทุนเพิ่มเพื่อที่จะบำรุงรักษาและปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ให้สอดคล้องกับความต้องการและความนิยมของนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป