นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า แผนการลงทุนของบริษัทในปี 60 วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท โดยจะเป็นครั้งแรกที่บริษัทรุกเปิดโครงการในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียม 2 โครงการ นอกจากนั้นจะเป็นวิลล่า-คอนโดมิเนียมในเมืองพัทยา จำนวน 3 โครงการ
ทั้งนี้ โครงการในกรุงเทพจะเป็นโครงการคอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น ย่านถนนวิทยุ ใกล้โรงแรมพลาซ่า แอทธินี่ ตั้งอยู่บนพื้นที่เกือบ 1 ไร่ ราคาขาย 200,000 บาท/ตารางเมตร หรือยูนิตละ 6-12 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 300 ล้านบาท และโครงการย่านสุขุมวิท บริเวณพระโขนง-อ่อนนุช บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ เป็นคอนโดฯขนาด 30-40 ตารางเมตร ราคาขาย 150,000-190,000 บาท/ตารางเมตร หรือ 5- 7 ล้านบาท จำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่ากว่า700 ล้านบาท โดยจะเปิดขายในไตรมาส 3/60
ส่วนโครงการใหม่ในเมืองพัทยา ได้แก่ โครงการ "X2 Pattaya Oceanphere" (ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์) พูลวิลล่า ตากอากาศพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ รีสอร์ท ตั้งอยู่บริเวณซอยนาจอมเทียน 56 บนที่ดินทั้งหมด 9 ไร่เศษพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 138.5-267 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้นที่ 9.79-15 ล้านบาท จำนวน 59 หลัง มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท โดยเมื่อเดือน ธ.ค.59 เปิดขายในรอบวีไอพี ปัจจุบันมียอดจองแล้วกว่า 40% กลุ่มเป้าหมายเป็นการซื้อเพื่อลงทุน 100% และจะเริ่มเปิดพรีเซลล์สำหรับลูกค้าทั่วไปในเดือน ก.พ.60 ตั้งเป้าปิดยอดขายได้ทั้งหมดภายในต้นปี 61
โครงการคอนโดมิเนียมย่านนาจอมเทียน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25-30 ตารางเมตร ราคาขาย 3 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียมบริเวณหาดวงศ์อมาตย์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 ไร่เศษ พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 25-52 ตารางเมตร ราคา 4 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท
"ที่ดินทั้ง 5 แปลง บริษัทได้ซื้อมาในราคา 500-600 ล้านบาท และส่วนใหญ่ยังเน้นการพัฒนาในทำเลพัทยา เพราะเป็นตลาดที่มีชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวและลงทุนต่อเนื่อง แต่ปัจจุบันการพัฒนาโครงการเพื่ออยู่อาศัยซัพพลายเริ่มมากกว่าดีมานด์ แต่ถ้าหากพัฒนาเพื่อการลงทุนก็เป็นการสร้างความแตกต่าง ซัพพลายในรูปแบบดังกล่าวไม่ค่อยมีในตลาด คู่แข่งน้อย ทำให้ปิดการขายได้เร็ว"นายชนินทร์ กล่าว
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในพัทยายังมีช่องว่างของตลาดอีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มโรงแรมและการท่องเที่ยว เพราะจากการศึกษาพบว่าตลาดท่องเที่ยวในพัทยาพบว่ายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยใน 10 เดือนแรกของปี 59 มีอัตราการเข้าพัก (occupancy rate) โดยเฉลี่ยเดือนละ 75% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่น่าพอใจ
นอกจากนี้ โครงการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนต่างๆ ทั้งในและรอบพัทยา ยังเป็นปัจจัยสำคัญในการขยายตัวของเมืองพัทยา ทำให้การเดินทางเข้าสู่พัทยาสะดวกสบายและรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งอานิสงส์จากพัฒนาสาธารณูปโภคนี้ ส่งผลต่อการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากขึ้นในอนาคตและมีการขยายจำนวนประชากรที่อาศัยอยู่รอบๆ เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของเมือง จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนต่างๆทั้งในประเทศ กลุ่มเชนโรงแรมใหญ่ๆ และกลุ่มนักลงทุนจากจีน เริ่มหันเข้ามาลงทุนในพัทยามากขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
"พัทยาเป็นเมืองท่องเที่ยวทางทะเลที่ใกล้กทม. และรายล้อมไปด้วยนิคมอุตสาหกรรม อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีนักลงทุนเข้ามาที่พัทยาเป็นจำนวนมาก เพราะให้ผลตอบแทนด้านการลงทุนมากกว่าในกทม. ส่งผลให้ปัจจุบันที่ดินติดทะเลหาได้ยากขึ้น โดยเมื่อปี 59 ที่ผ่านมาที่ดินแปลงที่มีศักยภาพปรับราคาขึ้นไปสูงถึง 50% ปัจจุบันราคาที่ดินที่ติดทะเลย่านนาจอมเทียน มีราคาสูงตั้งแต่ 20-60 ล้านบาท/ไร่ โดยทำเลแพงสสุดยังคงเป็นย่านวงศ์อมาตย์ ราคาตั้งแต่ 150-200 ล้านบาท/ไร่ ส่วนที่ดินฝั่งภูเขาจะมีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทบวกลบ/ไร่" นายชนินทร์ กล่าว
การพัฒนาโครงการของบริษัททุกโครงการจะมีการสร้างแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และทุกโครงการจะได้รับการันตีผลตอบแทน 7% ต่อปี เป็นระยะเวลา 5 ปี โดยตั้งแต่ปีที่ 6 จะแบ่งผลกำไร 60% ให้กับเจ้าของห้อง ส่วนเจ้าของห้องพักจะได้รับสิทธิ์พักฟรี 14 วันใน 1 ปี โดยแบ่งเป็น 10 วัน สำหรับวันจันทร์-พฤหัส และ 4 วัน สำหรับศุกร์-อาทิตย์ ยกเว้นช่วงไฮซีซั่นส์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เป็นต้น
นายชนินทร์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าจะดันยอดขายโครงการ Best Western Premier BayPhere Pattaya (เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา) ที่เหลืออีก 40% ให้หมดภายในปีนี้ และวางเป้าการขายสำหรับโครงการที่เปิดใหม่ทุกโครงการในปี 60 ให้ได้ถึง 60- 80% ต่อโครงการ และคาดว่าทั้งปีจะมียอดขายอยู่ที่ 2 พันล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท จากปี 59 ที่มียอดขาย 1 พันล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ 400 ล้านบาท
และคาดว่าภายในระยะเวลา 3-5 ปี บริษัทจะมีสัดส่วนรายได้ประจำอยู่ที่ 30-40% และสัดส่วนที่เหลือจะเป็นรายได้จากการขาย จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้ประจำน้อยกว่า 10% จากรายได้ประจำที่เข้ามาเพียง 1 โครงการคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน พูลวิลล่า ที่ปิดการขายไปแล้ว
ส่วนเรื่องของความเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อรายย่อยนั้น ทุกโครงการของบริษัทฯไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด เพราะที่ผ่านจะกำหนดให้วางเงินดาวน์ 30% โดยสัดส่วน 95% จะซื้อรายละ 1 ยูนิต และเป็นการซื้อด้วยเงินสดถึง 30% ส่วนใหญ่เป็นลูกค้าคนไทย 80% ที่เหลืออีก 20% เป็นชาวต่างชาติ เช่น สิงคโปร์ ฮ่องกง และจีน เป็นต้น จึงไม่ประสบปัญหาเรื่องอัตราการปฏิเสธสินเชื่อเกิดขึ้นมาก