นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น (SC) เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทมีเป้าหมายรายได้ 1.48 หมื่นล้านบาท และยอดขาย 1.6 หมื่นล้านบาท เติบโต 38% พร้อมแผนเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2.7 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรกเปิด 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 2 โครงการ ส่วนครึ่งปีหลังเปิด 11 โครงการ เป็นโครงการแนวราบ มูลค่ารวม 1.3 หมื่นล้านบาท ในส่วนอาคารสำนักงานแห่งใหม่ SC Tower ที่ได้รับความสำเร็จ ปัจจุบันมียอดจองครบ 100 % เรียบร้อยแล้ว และพร้อมเปิดดำเนินการในปลายไตรมาส 1/60
ในส่วนของรายได้ปีนี้จะมาจากโครงการแนวราบ 1.1 หมื่นล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 พันล้านบาท และ ค่าเช่า 800 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ 6 พันล้านบาท ซึ่งจะมีการโอนเข้ามาราว 10-15% ในปีนี้ อีกทั้งบริษัทยังมีสต็อกพร้อมขายและโอนทั้งหมด 6-7 พันล้านบาท ซึ่งมีสต็อกโครงการแนวราบราว 3 พันล้านบาท และสต็อกโครงการคอนโดมิเนียม 3-4 พันล้านบาท
ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตาในปีนี้ คือ หนี้ครัวเรือนเติบโตในอัตราที่ชะลอตัวลงมาก แต่ยังมีสัดส่วนต่อ GDP ที่สูงอยู่ และ อัตราการปฏิเสธให้สินเชื่อจากธนาคาร (bank rejection) และ housing NPL ยังอยู่ในช่วงขาขึ้น ทั้ง 2 เรื่องเป็นความท้าทายต่อการเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ อย่างไรก็ตามคาดการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้จะเติบโตมากกว่า 5% ด้วย GDP ของไทยยังเติบโตมากกว่า 3% และกำลังซื้อของกลุ่มที่อยู่อาศัยราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปยังมีความแข็งแรง
บริษัทยังวางแผนยุทธศาสตร์เชิงรุก สำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค 4.0 ยุคแห่ง Connectivity ที่โลกเชื่อมต่อกันทั้งหมดด้วยระบบดิจิตอล เรามีแผนการเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี โดยตั้งเป้าหมายในปี 62 ทำรายได้เกิน 2 หมื่นล้านบาท
นายณัฐพงศ์ เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุน 1.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น งบก่อสร้าง 8 พันล้านบาท งบซื้อที่ดิน 8 พันล้านบาท โดยการซื้อที่ดินแปลงใหม่จะเน้นการพัฒนาโครงการระดับล่างราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท โดยจะเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาเป็น 17% ภายในปี 62 จากปีก่อนมีสัดส่วนอยู่ที่ 10% เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีจำนวนมากที่สุดในตลาด ซึ่งถือเป็นโอกาสที่บริษัทจะรุกเข้าไปขยายฐานในกลุ่มดังกล่าว โดยเบื้องบริษัทจะเปิดโครงการทาวน์โฮมระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท 1 โครงการ ในย่านเพชรเกษม 81 ช่วง ไตรมาส 3/60
แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับล่างจะได้รับแรงกดดันจากอัตราการปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงและยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เพราะระดับหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ลดลง และสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลต่อความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร และทำให้อัตราการปฏิเสธสินเชื่อเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชื่อของลูกค้าบริษัทอยู่ที่ 5% ซึ่งต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม ซึ่งบริษัทมีการให้คำปรึกษากับลูกค้าเพื่อเตรียมตัวก่อนการยื่นขอสินเชื่อกับธนาคาร
ส่วนภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีการขยายตัวได้ 5% โดยมีแรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐเป็นตัวขับเคลื่อนหลักที่จะช่วยให้ความต้องการอสังหาริมทรัพย์ในทำเลต่างๆขยายตัวมากขึ้น และทำให้รายได้ของประชากรในประเทศเพิ่มขึ้น อีกทั้งสร้างความมั่นใจให้ฟื้นตัวกลับมา ประกอบกับภาคการท่องเที่ยวที่ยังเป็นปัจจัยช่วยหนุนการเติบโตของเศรรษฐกิจไทยได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามจะต้องดูว่าการบริโภคของครัวเรือนและการลงทุนภาคเอกชนจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีหรือไม่
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนการออกหุ้นกู้ในปีนี้ทั้งหมด 4 พันล้านบาท โดยจะเป็นการทยอยออก 2-3 ครั้ง ซึ่งแบ่งการออกในครึ่งปีแรกจำนวน 1 ครั้ง และคลดว่าจะทยอยออกในครึ่งปีหลัง 1-2 ครั้ง ซึ่งจะมีการออกหุ้นกู้ชุดใหม่มูลค่า 3 พันล้านบาท เพื่อใช้ไนการลงทุน และออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุมูลค่า 1 พันล้านบาท
อีกทั้งปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาการเข้าลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ เพื่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจของบริษัท โดยเบื้องต้นจะเน้นการลงทุนในธุรกิจที่เสริมงานด้านคุณภาพและนวัฒกรรม ซึ่งบริษัทตั้งงบลงทุนไว้ที่ 50 ล้านบาทในช่วง 3 ปีจากนี้ ปัจจุบันมีเจรจาบริษัทสตาร์ทอัพในประเทศไทยอยู่หลายราย และในอนาคตอาจจะลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพต่างประเทศเพิ่มเติม