นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งตัวอาจผันผวนแต่ไม่มาก โดยดัชนีฯคงจะปรับตัวขึ้นไปก่อนแล้วค่อยอ่อนตัวลงมา หลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามให้สหรัฐถอนตัวออกจากข้อตกลงการค้าเสรีหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (TPP) อย่างเป็นทางการ ทำให้มีหลายประเทศได้รับผลกระทบทั้งสหรัฐเอง รวมถึงญี่ปุ่น, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์ เป็นต้น ขณะที่ไทยไม่ได้เข้าร่วม TPP แต่อาจจะได้รับผลกระทบทางอ้อม
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ อย่างไรก็ดี ให้ติดตามวันนี้ศาลฎีกาอังกฤษนัดอ่านคำวินิจฉัยประเด็นที่ว่านายกรัฐมนตรีอังกฤษสามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาได้หรือไม่
ส่วนปัจจัยในประเทศก็มีเรื่องที่จากที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าตัวเลขส่งออกงวด ธ.ค.59 จะดีขึ้น ทำให้เห็นภาพได้ว่าเศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ฟื้นขึ้น
พร้อมให้แนวรับ 1,563 จุด ส่วนแนวต้าน 1,577-1,582 จุด
ประเด็นการพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ม.ค.60) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 19,799.85 จุด ลดลง 27.40 จุด (-0.14%), ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,552.94 จุด ลดลง 2.39 จุด (-0.04%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,265.20 จุด ลดลง 6.11 จุด (-0.27%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ลดลง 73.61 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน ลดลง 2.19 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง เพิ่มขึ้น 66.73 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน ลดลง 1.00 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 4.23 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ลดลง 0.81 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 3.06 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (23 ม.ค.60) 1,570.79 จุด เพิ่มขึ้น 7.80 จุด (+0.50%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 254.88 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ม.ค.60
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนมี.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ม.ค.60) ปิดที่ 52.75 ดอลลาร์/บาร์เรล .ลดลง 47 เซนต์ หรือ 0.9%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ม.ค.60) ที่ 7.40 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 35.23 แข็งค่าตามภูมิภาคจากแรงขายดอลล์หลังกังวลนโยบาย"ทรัมป์"
- รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้เสนอมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบตั้งแต่ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งต้องรอว่าที่ประชุม ครม.ในวันที่ 24 ม.ค.จะมีการพิจารณาเรื่องนี้หรือไม่
- รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ไทยจะไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่จะยกเลิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) เนื่องจากไทยยังไม่ได้เข้าเป็นสมาชิกทีพีพี สิ่งที่ต้องเร่งดำเนินการหลังจากนี้ คือการผลักดันให้การเจรจาความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจในภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ระหว่างอาเซียนและประเทศ คู่เจรจา 6 ประเทศ รวมเป็น 16 ประเทศ ให้ได้ข้อสรุปภายในปี 2560 ตามเป้าหมายที่ผู้นำทั้ง 16 ประเทศได้ประกาศไว้ เพราะไทยจะได้ประโยชน์จากความตกลงอาร์เซ็ป เนื่องจากเป็นกรอบเจรจาที่ใหญ่สุดในโลก หากไม่มีทีพีพี
- นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุมการจัดอันดับความยากง่ายในการทำธุรกิจ (Doing Business) โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานว่า ในการประชุมได้เชิญตัวแทนธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) มาชี้แจงจุดที่ไทยต้องทำการปรับปรุงเพื่อให้การจัดอันดับการทำธุรกิจของไทยดีขึ้น ให้ทันการประเมินการจัดอันดับรอบใหม่ในเดือน พ.ค.60 ซึ่งมีเรื่องที่ต้องปรับปรุงหลายอย่าง ทั้งระยะสั้นที่สามารถทำได้ทันทีก่อนเดือน พ.ค. และเรื่องระยะยาว เช่น การแก้ไขกฎหมายที่ต้องทำให้เกิดความชัดเจน
*หุ้นเด่นวันนี้
- DCC (กสิกรไทย)"ซื้อ"เป้า 5.20 บาท หลังประกาศกำไรไตรมาส 4/59 ที่ 306 ล้านบาท ลดลง 11.6% YoY และ 3.1% QoQ หลักๆ หดตัวจากราคาขายที่ลดลง 5.0% YoY และ 5.5% QoQ ทำให้ทั้งปี 59 กำไร 1.4 พันล้านต่ำกว่าคาด 5.1% และ Bloomberg consensus 3.4% แต่มองว่าเป็นปัจจัยชั่วคราวหลังอุปสงค์ถูกกดดันจากช่วงไว้อาลัย ดังนั้นราคาสินค้าเกษตรที่ดีขึ้น ประกอบกับสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ที่ผ่อนคลายลง จะช่วยสนับสนุนอุปสงค์ และราคากระเบื้องที่สูงขึ้นได้ในปี 2560 จึงคงประมาณการเดิม
- CPF (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 38 บาท แนวโน้มกำไรปกติ Q4/59 น่าจะเป็นจุดต่ำสุดของปีจากทั้ง Low Season ราคาเนื้อสัตว์ปรับลงและรับรู้ค่าใช้จ่ายซื้อกิจการ ทำให้คาด -72% Q-Q แต่ด้วยกำไรที่ดีมาก 9 เดือนแรกปี 59 ทั้งปีน่าจะ +714% Y-Y ส่วนปี 60 คาดกำไรปกติโตต่อ +11% Y-Y จากราคาไก่ที่ดีขึ้นเพราะหลายประเทศมีไข้หวัดนก คำสั่งซื้อของญี่ปุ่นแข็งแกร่ง และได้ตลาดใหม่คือเกาหลีใต้-สิงคโปร์ รวมถึงการฟื้นตัวในธุรกิจอื่น สำหรับการรวมกิจการ Bellisio ตั้งแต่ต้นปีนี้อาจไม่ฉุดผลประกอบการหากปรับมาใช้มาตรฐานบัญชีเดียวกัน และคาดปันผล 0.50 บาท/หุ้นสำหรับงวด 2H16
- COM7 (เคจีไอ) "เก็งกำไร"เป้า Consensus 14.5 บาท Catalyst ระยะสั้น คาดแนวโน้ม Earnings momentum เป็นบวกต่อเนื่อง โดยคาด 4Q59 กำไรจะโต YoY และ QoQ (High season+ช้อบช่วยชาติ + สินค้าใหม่ๆ) ขณะที่แนวโน้มกำไร 1Q60 จะโต YoY (สาขาเพิ่ม + เริ่มรับรู้รายได้ Bangkok Telecom 999 เข้ามาในงบฯ) แต่อาจอ่อนตัว QoQ (พ้นมาตรการช้อบช่วยชาติ) ส่วนระยะกลาง-ยาว คาดแนวโน้มอุตสาหกรรมค้าปลีกไอทีเป็นขาขึ้นใน 1-2 ปีนี้ จากลดสงครามราคาของผู้ประกอบการฯ, การสนับสนุนจากภาครัฐฯ ด้วยนโยบายไทยแลนด์ 4.0 คาดจะหนุนความต้องการสินค้าไอที, Valuation ไม่แพงด้วย PEG 0.95 เท่า (CAGR 31.7% 2559 - 61) เทียบกับ PEG เฉลี่ยกลุ่มค้าปลีกที่ 2.2 เท่า