นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) (KTBST) ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ว่า ทิศทางตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มโน้มเดินหน้าต่อจากปัจจัยบวกเฉพาะตัวและนักลงทุนหันมาลงทุนในหุ้นที่เป็น Domestic Play และเก็งงบไตรมาส 4/59 กันมากขึ้น ขณะที่ความผันผวนจะมีอยู่อันเป็นผลจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯที่ยังไม่ชัดเจนนักว่าจะนำมาใช้ในระดับใด
ขณะที่ BREXIT เป็นตัวแปรที่จะเข้ามาในช่วงบ่าย จะเป็นเรื่องศาลฎีกาของอังกฤษนัดอ่านคำวินิจฉัยในวันนี้ เวลา 16.30 น.ตามเวลาไทย ในประเด็นที่ว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาได้หรือไม่
สำหรับปัจจัยในประเทศ แรงหนุนจากการกลับเข้ามาซื้อหุ้นหลังขายไปในวันก่อนหน้าน่าจะยังมีอยู่ ขณะที่ปัจจัยของวันนี้ จะมีสองเรื่องด้วยกัน คือ รายงานตัวเลขส่งออกเดือน ธ.ค. ผลสำรวจ Bloomberg คาดว่าจะขยายตัว 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เราประเมินว่าราคาทองคำที่ปรับตัวลดลง อาจฉุดตัวเลขนี้ไม่ให้ขยายตัวได้มาก และการประชุม ครม. ในช่วงเช้า หากมีมาตรการเศรษฐกิจที่เป็นบวกต่อตลาดหุ้น ก็จะเป็นตัวหนุนดัชนีฯด้วย
ด้านปัจจัยตลาดต่างประเทศ ยังคงได้รับผลจากการประกาศนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ หลังจากขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ โดยเฉพาะนโยบายด้านการค้าต่างประเทศ ทั้งนี้ ประเทศจีนและญี่ปุ่น ถูกระบุในเรื่องการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐฯ ซึ่งอาจเป็นประเด็นที่นำไปสู่สงครามการค้า ขณะที่การใช้อำนาจประธานาธิบดียกเลิกการเจรจา TPP ของสหรัฐฯกับประเทศอื่นๆ นั้นจะทำให้นักลงทุนรอดูว่า จากนี้ไป สหรัฐฯจะเดินเกมอย่างไรหรือเพียงแค่ขู่ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีความชัดเจนในเร็วๆนี้ และเรามองตัวแปรนี้ว่าจะทำให้ตลาดหุ้นเอเชีย หรือหุ้นที่อิงรายได้จากการส่งออก มีความผันผวนมากในช่วงนี้ เนื่องจากจะมีทั้งผู้ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์
ด้านราคาน้ำมันดิบ การลดกำลังการผลิตน้ำมัน และดอลล่าร์อ่อนค่า เป็นบวก เพียงแต่นักลงทุนไปกังวลในเรื่องการใช้แท่นผลิตน้ำมันของสหรัฐฯ และนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีคนใหม่ที่หนุนให้สหรัฐฯผลิตน้ำมัน-ถ่านหินเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม แนวโน้มราคาน้ำมันดิบ (WTI) น่าจะขึ้นแตะระดับ $55 เหรียญได้ในเร็วๆนี้ ขณะที่หุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์ จะขยับมาเป็นหุ้นที่ใช้นำมันเป็นวัตถุดิบ ได้แก่ ปิโตรเคมีขั้นต้นและโรงกลั่นน้ำมัน เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาขายสินค้า (หรือ spread) จะถูกปรับขึ้นตาม ด้านราคาสินค้าโภคภัณฑ์ตัวอื่นๆ ทั้งกลุ่มโลหะและเกษตรหลายๆตัว ปรับตัวสูงขึ้น (คาดมาจากดอลล่าร์ที่อ่อนค่าลง)
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในวันนี้โดยรวมๆแล้ว คงต้องรอดูปฎิกริยาของตลาดต่อนโยบายของทรัมป์ว่าจะกระทบต่อตลาดหรือไม่ แต่ด้วยที่เรายังคงมองทิศทางตลาดว่ายังเป็นขาขึ้น กลยุทธ์โดยรวม ยังเป็น Selective buy เน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยเรากลับมาให้ความสนใจกับหุ้นน้ำมัน-ปิโตรเคมี รวมทั้งหุ้นที่เป็น Domestic Play และหุ้นที่ถูกคาดว่าผลประกอบการจะออกมาดีหรือจ่ายปันผลสูง สำหรับในการเก็งกำไรช่วงสั้นหุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิเช่น TOP , IVL , KCE , BJC , BCH , KGI , HTECH