บลจ.ไทยพาณิชย์ เผยมีเม็ดเงินไหลเข้ากองตราสารหนี้สูง 2.5 หมื่นลบ.รับดอกเบี้ยขาขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 24, 2017 15:25 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ขณะนี้ว่า ถึงแม้สถานการณ์จะอยู่ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีข่าวที่กระทบต่อแวดวงตลาดตราสารหนี้บ้าง แต่นักลงทุนก็ยังจัดสรรเงินลงทุนเข้ามาในกองทุนตราสารหนี้อย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนกองทุนตราสารหนี้ของ บลจ.ไทยพาณิชย์ นับจากต้นปี 2560 มีเม็ดเงินไหลเข้ามาแล้วสูงถึง 25,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อ บลจ.ไทยพาณิชย์ โดย ณ วันที่ 18 มกราคม 2560 บริษัทฯ มีกองทุนตราสารหนี้ภายใต้การบริหารอยู่ที่ 554,320 ล้านบาท

นายสมิทธ์ กล่าวว่า บลจ. ไทยพาณิชย์ มีกระบวนการคัดเลือกตราสารที่กองทุนจะเข้าลงทุน (Internal Credit Model) ในรูปแบบที่มีมาตรฐานสูงเทียบเท่ากับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ นอกจากนั้นยังมีกระบวนการวิเคราะห์หรือคัดเลือกบริษัทที่จะลงทุน โดยพิจารณาจากหลายปัจจัย อาทิ ความมั่นคงทางการเงิน สถานะทางการเงิน และปริมาณเงินสดจากการดำเนินงาน รวมทั้งยังมีการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวม สถานการณ์รายอุตสาหกรรม (sector)ตลอดจนความสามารถและประสบการณ์ของทีมผู้บริหารของบริษัทที่จะลงทุน

“เรายังมีทีมวิเคราะห์เครดิตที่มีความชำนาญในการวิเคราะห์ตราสารหนี้ อาทิ ตั๋วแลกเงิน หุ้นกู้ โดยเฉพาะแยกจากทีมผู้จัดการกองทุน และทีมนักวิเคราะห์หุ้น เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ตราสารหนี้ในเชิงลึกและทั่วถึง โดยทีมงานจะมีการเดินสายและเข้าร่วมประชุม analyst meeting กับทีมผู้บริหารบริษัท เพื่อรับทราบถึงสถานการณ์ผลการดำเนินงาน และแผนธุรกิจในอนาคตของธุรกิจบริษัทนั้นๆ อย่างสม่ำเสมอ" นายสมิทธ์ กล่าว

โดยตั้งแต่ปี 2558 บลจ.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้นำ call back verification ซึ่งเป็นBusiness model ใหม่มาใช้เป็นบริษัทจัดการรายแรกของอุตสาหกรรม เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนได้รับคำแนะนำการลงทุนและข้อมูลผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้องครบถ้วนตรงตามระดับความเสี่ยงและข้อจำกัดการลงทุนของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวนี้ได้รับการยอมรับและนำไปสู่แนวคิดในการวางมาตรฐานการกำกับดูแลบริษัทจัดการลงทุนให้มีมาตรการป้องกันการเกิด mis-selling อีกด้วย

สำหรับตลาดตราสารหนี้ในปี 2560 มีแนวโน้มที่อัตราผลตอบแทนจะปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยเป็นผลจากปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก ได้แก่ การดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และการเพิ่มขึ้นของราคาพลังงานภายหลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) มีมติลดกำลังการผลิตน้ำมันลง ซึ่งจะผลักดันให้อัตราเงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้น และสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดีตลาดตราสารหนี้อาจมีความผันผวนในระยะสั้นจากความไม่แน่นอนของความสำเร็จในการดำเนินนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จากผลกระทบจากการที่อังกฤษถอนตัวออกจากกลุ่มสหภาพยุโรป การเลือกตั้งในกลุ่มประเทศยุโรป และความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจจีน สำหรับมุมมองปัจจัยในประเทศ คาดว่าเศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้ในระดับ 3.3% และธนาคารแห่งประเทศไทยน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.5%


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ