(เพิ่มเติม) AP ตั้งเป้าปี 60 รายได้โต 10-15% ยอดขาย 2.6 หมื่นลบ.เปิดตัว 20 โครงการ 3.5 หมื่นลบ.เน้นแนวราบ

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 24, 2017 17:08 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าปี 60 รายได้เติบโต 10-15% ยอดขาย 2.6 หมื่นล้านบาท พร้อมกับมีแผนการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 3.5 หมื่นล้านบาท ขณะที่มียอดขายรอโอน (backlog) ราว 1.5 หมื่นล้านบาท

สำหรับการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้จะเน้นโครงการแนวราบมากถึง 17 โครงการ มูลค่า 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 8 พันล้านบาท และทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 7 พันล้านบาท

ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในปีนี้มีจำนวน 3 โครงการ มูลค่า 2 หมื่นล้านบาท จะเป็นการพัฒนาภายใต้บริษัทร่วมทุนระหว่างเอพีและมิตซูบิชิเอสเตท โดยในครึ่งปีแรกจะเปิดการขายจำนวน 2 โครงการ มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการไลฟ์ วัน ไวร์เลส มูลค่า 6.4 พันล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยแสนกลางๆต่อตารางเมตร และโครงการไลฟ์ ลาดพร้าว มูลค่า 7.6 พันล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยแสนต้นๆต่อตารางเมตร และจะมีการเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ มูลค่าราว 6 พันล้านบาทในช่วงครึ่งปีหลัง

นายอนุพงษ์ กล่าวอีกว่า สำหรับรายได้ที่เพิ่มขึ้นในปีนี้จะมาจากการโอนคอนโดมิเนียมต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4/59 และโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จใหม่เตรียมโอนในปีนี้อีก 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.69 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น โครงการร่วมทุนระหว่างเอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 1.09 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการ RHYTHM สุขุมวิท 36-38, โครงการ ASPIRE รัชดา-วงศ์สว่าง, โครงการ ASPIRE สาทร-ท่าพระ และโครงการ RHYTHM อโศก 2 ซึ่งได้ทยอยโอนไปตั้งแต่ไตรมาส 4/59 มาถึงปีนี้

ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมที่เอพีพัฒนาเองจำนวน 2 โครงการ มูลค่า 6.6 หมื่นล้านบาท จะมีการโอนในช่วงไตรมาส 4/60 ได้แก่ โครงการ ASPIRE ERAWAN และโครงการ Life Pinkloa ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่ายอดขายรอโอนอยู่ที่ 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนในปีนี้ส่วนหนึ่ง

ในปีนี้บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินไว้ที่ 8 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ใช้ไป 6-7 พันล้านบาท โดยส่วนหนึ่งจะใช้ในการซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมร่วมทุนในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งอยู่ระหว่างดีลการเจรจา แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยทำเลได้ และส่วนหนึ่งจะใช้สำหรับการรองรับการพัฒนาโครงการในอนาคต ซึ่งแหล่งเงินทุนสำหรับการใช้ซื้อที่ดินและการลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท กำไรจากการดำเนินงาน เงินกู้สถาบันการเงิน และการออกหุ้นกู้ ซึ่งในช่วงกลางเดือน ม.ค.ที่ผ่านมาบริษัทได้ออกหุ้นกู้ไปมูลค่า 2 พันล้านบาท อายุ 2 ปี และ 3.6 ปี

การพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้และในอนาคตจะเป็นการพัฒนาภายใต้รูปแบบบริษัทร่วมทุน คือ บริษัท พรีเมียม เรสซิเดนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างเอพีและมิตซูบิชิ เอสเตท ซึ่งเอพี ถือหุ้น 51% และมิตซูบิชิ เอสเตท ถือหุ้น 49% โดยจะมีจำนวน 11 โครงการ มูลค่า 4.7 หมื่นล้านบาท และคอนโดมิเนียมของเอพีปัจจุบันมีอยู่ 25 โครงการ มูลค่า 6 หมื่นล้านบาท

"การหันมาพัฒนาโครงการภายใต้บริษัทร่วมทุนแทน เพราะจะช่วยเพิ่มในเรื่องศักยภาพเพราะมีการใช้เงินลงทุนที่สูงขึ้น ในภาวะที่ราคาที่ดินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสูง และศักยภาพและความเชี่ยวชาญของพันธมิตรจากญี่ปุ่นที่ช่วยเอพีไนด้านงานก่อสร้าง ความรู้ และการบริหารงานต่าง ๆ อย่างไรก็ตามแบรนด์ที่ใช้จะยังคงใช้แบรนด์ของเอพี"นายอนุพงษ์ กล่าว

นายอนุพงษ์ กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงในปีนี้ยังอยู่ที่ผลกระทบของเศรษฐกิจโลก หลังนายโดนัลล์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐว่าจะกระทบกับประเทศใดบ้าง อีกทั้งปัจจัยในประเทศเกี่ยวกับช่วงหลังผ่านพ้นการไว้อาลัย 100 วัน แนวโน้มของตลาดจะเป็นอย่างไร โดยจะต้องดูอารมณ์และความมั่นใจต่าง ๆ ของผู้ซื้อว่าจะกลับมาดีขึ้นหรือไม่ หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมามีการซื้ออสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว ทำให้ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องการเปิดโครงการในปีนี้ด้วย โดยเฉพาะการเปิดขายคอนโดมิเนียม ส่วนโครงการแนวราบไม่ค่อยได้รับผลกระทบดังกล่าวมากนัก

ด้านปัญหาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงินนั้น บริษัทไม่ได้กังวลมากนัก เพราะปัจจุบันธนาคารพาณิชย์มีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว จากระดับหนี้สินครัวเรือนอยู่ในระดับสูง และสัดส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของธนาคารพาณิชย์ทุกแห่งเพิ่มขึ้น ขณะที่บริษัทเองก็ได้คัดกรองลูกค้าที่เข้ามาซื้อโครงการด้วยส่วนหนึ่ง ทำให้ปัจจุบันอัตราการปฏิเสธสินเชือของลูกค้าที่มาซื้อโครงการของบริษัทยังอยู่ระดับทรงตัวจากสิ้นปีก่อนที่ 10%

นายโชจิโร โคจิมา กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท เอเชีย กล่าวว่า บริษัทมองโอกาสการขยายการลงทุนธุรกิจประเภทอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำทั้งในประเทศไทยและในประเทศอื่น ๆ ซึ่งถือว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำมีโอกาสในการเติบโตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะประเภทอาคารสำนักงานให้เช่าที่บริษัทให้ความสนใจในการลงทุนเป็นลำดับแรก เพราะอัตราค่าเช่าพื้นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และยังมีแนวโน้มการเช่าพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นจากบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น

บริษัทได้หารือกับทางเอพีในการรุกธุรกิจดังกล่าวร่วมกัน แต่ทางผู้บริหารของเอพียังไม่พร้อมที่จะเข้าไปร่วมลงทุนเพราะต้องการเน้นลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายที่เอพีมีความชำนาญให้ดีก่อน แต่ก็เปิดโอกาสให้บริษัทสามารถไปร่วมลงทุนในธุรกิจอื่นๆกับพันธมิตรรายอื่นทั้งในไทยและต่างประเทศ

นอกจากนี้บริษัทยังสนใจที่จะลงทุนธุรกิจโลจิสติกส์ในประเทศไทยเป็นลำดับรองลงมา เพราะกระแสของธุรกิจอีคอมเมิร์ชที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในประเทศไทยเป็นโอกาสที่สำคัญในการเข้าลงทุน ส่วนธุรกิจศูนย์ค้าปลีกในไทยนั้นยังมีความแข็งแกร่งมาก ซึ่งจะเป็นการยากหากเข้าไปลงทุนในธุรกิจดังกล่าว


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ