นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.สิงห์ เอสเตท (S) วางเป้ารายได้พุ่งแตะ 2 หมื่นล้านบาทในปี 63 ภายใต้ 3 ธุรกิจหลัก ที่พักอาศัย-อาคารเชิงพาณิชย์-โรงแรมและบริการ พร้อมเดินหน้าซื้อกิจการเพิ่มโดยเน้นในประเทศและแถบเอเชีย ขยายขนาดสินทรัพย์รองรับการระดมทุนทั้งมในรูปแบบการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และการผลักดันบริษัทย่อยเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
"ในปี 63 เราตั้งเป้าขึ้นแบรนด์ระดับโลก มีรายได้ที่ 2 หมื่นล้านบาท เรายังจะซื้อและสร้างแบรนด์อื่นเข้ามาเพื่อเสริมความแข็งแกร่งเพื่อช่วยในการเติบโตของเรา"นายนริศ กล่าว
สำหรับธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทจะเปิดตัวโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งภายใต้ S และบริษัทในเครือ หลังจากบริษัททำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ ของบมจ.ไดอิ กรุ๊ป (DAII) หลังจากเข้าไปถือหุ้น 55.7% โดยจะนำเนอวาน่าเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ DAII ทำให้สามารถ Synergy กันเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อทำโครงการในตลาดระดับกลาง ซึ่งเดิมเนอวานาทำบ้านราคา 20-30 ล้านบาท จากนี้ก็อาจเป็นทาวน์โฮม 8-10 ล้านบาท เพื่อทำให้ยอดขายดีขึ้น และสนับสนุนให้ DAII สามารถขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม
ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ในระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ ได้แก่ คอนโดมิเนียมในโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณ แยกอโศก-เพชรบุรี โดยพร้อมเปิดตัวปลายเดือนก.พ.นี้ รวมทั้งโครงการคฤหาสน์ระดับ 6 ดาวบนถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา) และคอนโดมิเนียมติดสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ พร้อมจะเปิดตัวในไตรมาส 4/60 โดยทั้ง 3 โครงการมีมูลค่ารวมกันมากกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนจะทยอยเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยภายใต้แบรนด์เนอว์วาน่าในปีนี้อีกอย่างน้อย 4 โครงการ
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ใน 2-3 ปี ส่วนโครงการซูปเปอร์ลักชัวรี่ที่เปิดใหม่ในปีนี้ 3 โครงการ คาดว่าจะรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป
ด้านธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก โครงการหลัก สิงห์ คอมเพล็กซ์ หัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี ปัจจุบันมีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วประมาณ 15% เมื่อแล้วเสร็จจะเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอที่มีความสูง 44 ชั้น และมีพื้นที่ร้านค้าปลีก ร้านอาหารชั้นนำ และธนาคาร ที่รองรับความต้องการของพนักงานออฟฟิศและผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง
ส่วนอาคารสำนักงานซันทาวเวอร์ส บริษัทได้ปรับปรุงในส่วนลอบบี้ และพื้นที่ส่วนกลาง โดยเปิดใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้โครงการซันทาวเวอร์ส ประกอบไปด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ 2 อาคาร มีพื้นที่สำนักงาน 123,000 ตร.ม. และเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ห้องประชุม ฟิตเนสเซนเตอร์ นอกจากนั้น บริษัทกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และขยายโซนพลาซ่า 2 เพื่อเพิ่มพื้นที่ร้านอาหารและฟู้ดเซ็นเตอร์เพื่อบริการผู้เช่า และผู้อยู่อาศัยใกล้เคียง
ด้านธุรกิจโรงแรม ในปีนี้ S ยังคงนโยบายเดินหน้าขยายธุรกิจไปในกลุ่มโรงแรมที่มีศักยภาพในการเติบโตเพื่อเข้าซื้อกิจการหรือร่วมทุนกับพันธมิตรโดยเฉพาะธุรกิจโรมแรมทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้มองในประเทศไทยและเอเชียก่อน เพราะยังเติบโตได้ดี จากปัจจุบันสัดส่วนธุรกิจแรมมาจากไทยและเอเชีย 75% ประเทศอังกฤษ 25% นอกจากนี้ ยังสนใจที่จะขยายการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไปในกลุ่ม CLMV ภายใน 2 ปีนี้ โดยคาดว่าจะเห็นธุรกิจโรงแรมก่อน
ก่อนหน้านี้ บริษัทได้ร่วมทุนซื้อโรงแรมในสหราชอาณาจักรเพิ่ม 3 แห่ง ทำให้เป็นเจ้าของโรงแรมรวม 29 แห่งในอังกฤษ และ สก็อตแลนด์ ส่วนในประเทศ มีแผนพัฒนาห้องพักเพิ่มที่โรงแรมสันติบุรี รวมทั้งเดินหน้าสร้างแบรนด์สันติบุรี เพื่อเพิ่มรายได้และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจ ขณะที่โรงแรมพีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ท มีการปรับปรุงห้องพัก รวมทั้งพื้นที่ส่วนกลางใหม่ทั้งหมด โดยคาดว่าปีนี้จะเป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจโรงแรมน่าจะมีผลประกอบการที่ดีต่อเนื่องจากปีก่อน
ทั้งนี้ บริษัทยังได้รับเลือกให้เป็นผู้บริหารโครงการเมกะโปรเจกท์ที่ประเทศมัลดีฟส์ โดยเป็นโครงการก่อสร้างสถานที่ท่องเที่ยวขนาดใหญ่ บนพื้นที่ 7 ตร.กม. ซึ่งในอนาคตจะมีการพัฒนาให้เป็นศูนย์กลางการพักผ่อนที่ใหญ่ และทันสมัยที่สุดในมัลดีฟส์ ประกอบด้วย โรงแรม มารีน่า บีชคลับ ร้านค้าปลอดภาษี เป็นต้น
นายนริศ กล่าวว่า บริษัทยังศึกษาการระดมทุนในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อขยายธุรกิจ ได้แก่ การจัดตั้งกอง REIT ที่อยู่ระหว่างศึกษาคาดว่าจะนำสินทรัพย์ คือ อาคารซันทาวเวอร์ ขายเข้าเป็นสินทรัพย์ของกองทุน ซึ่งจะรอให้มีมูลค่าเพิ่มหรือเพิ่ม value เป็นที่น่าพอใจก่อน เพื่อระดมทุนกลับมาพัฒนาโครงการที่ 2-3-4 ต่อไป
นอกจากนั้น ยังมีแผนนำธุรกิจโรงแรมภายใต้ บริษัท สิงห์โฮเทลแอนด์รีสอร์ท จำกัด (SHR) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะดำเนินการภายหลังจากขนาดของธุรกิจเติบโตมากกว่านี้ โดยบริษัทมีแผนจะเข้าซื้อกิจการโรงแรมเพิ่มอีกราว 2-3 แห่ง ก่อนนำเข้าจดทะเบียน และอยู่ระหว่างหาที่ปรึกษาทางการเงิน
"ปัจจุบันสิงห์ เอสเตทมีโครงการที่พักอาศัยของบริษัท 4 โครงการ โครงการของเนอวาน่า 14 โครงการ โครงการโรงแรม 2 แห่งในไทยและ 29 แห่งในสหราชอาณาจักร อีกทั้งยังมีอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก 2 โครงการ และเรายังมองไปถึงธุรกิจใหม่ๆ อาทิ ธุรกิจคลังสินค้า และโลจิสติกส์ จากภาพรวมโครงการที่มีศักยภาพและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้า รวมถึงการคัดเลือกพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพดี และการวางรากฐานองค์กรภายใต้หลักบรรษัทภิบาล เราเชื่อว่าจะสามารถสร้างการเติบโตให้กับ สิงห์ เอสเตท ได้แบบก้าวกระโดด และผลักดันบริษัทฯ ให้เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำที่มีความแข็งแกร่ง ครบวงจร และเติบโตอย่างก้าวกระโดด แต่มั่นคง และยั่งยืนต่อไป"นายนริศ กล่าว