นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เออีซี (AEC) เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 60 บริษัทตั้งเป้าจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิ จากปีก่อนที่ยังมีผลขาดทุนสุทธิต่อเนื่อง เป็นผลจากการปรับปรุงระบบภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แก้ไขภาพลักษณ์ด้านลบในอดีต เพื่อรองรับการมุ่งหน้าขยายธุรกิจครั้งใหญ่ในปีนี้ แผนงานในปีนี้บริษัทจะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพทุกส่วนงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานการเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารหนี้ วาณิชธนกิจ รวมถึงงานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์ (research) เป็นต้น เพื่อให้ภาพลักษณ์ของบริษัทฯกลับมาดูดีขึ้น หลังจากที่ AEC ประสบปัญหาหลายด้านที่ส่งผลต่อผลประกอบการติดลบ โดยเฉพาะในปี 58 ขาดทุนสุทธิถึง 192.57 ล้านบาท อีกทั้งปัญหาคดีการโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง
"ช่วงที่ผ่านมาเราประสบปัญหาหลายๆอย่าง ส่งผลต่อผลประกอบการ ในปี 58 ขาดทุนเยอะที่สุดในอุตสาหกรรม และมาเจอปัญหาคดีการโอนหุ้นของคุณชูวงษ์ แซ่ตั๊ง ทำให้ AEC ถูก ก.ล.ต.ลดเกรดลงมา แต่เนื่องด้วยคดีนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับ AEC แล้ว ซึ่งคดีฟ้องร้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในครอบครัวของคุณชูวงษ์ ก็ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ปัจจุบันทาง ก.ล.ต.ก็ปรับเกรดเราขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 3 จากการที่เราได้ปรับปรุงระบบภายในให้ดี ตามหลักเกณฑ์ของ ก.ล.ต."นายชนะชัย กล่าว
นายชนะชัย กล่าวว่า หลังจากระบบภายในดีขึ้นแล้วทำให้บริษัทสามารถขยายสาขาได้ ดังนั้น ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มอีกจำนวน 4 แห่ง แบ่งเป็น สาขาในภาคอีสาน 3 แห่ง และภาคตะวันออก 1 แห่ง คาดว่าจะช่วยสนับสนุนการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นได้อีกราว 3-4 พันบัญชี จากปัจจุบันบริษัทมีจำนวนฐานลูกค้าทั้งสิ้น 1.4 หมื่นบัญชี โดยวางงบลงทุนต่อสาขาไม่เกิน 3 ล้านบาท
บริษัทตั้งเป้าหมายรักษาส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ไว้ที่ 2.7% ใกล้เคียงกับปีก่อน เนื่องจากมองว่าแนวโน้มการแข่งขันสูงขึ้น แต่บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถแข่งขันได้ในอุตสาหกรรมได้จากศักยภาพของทีมงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะที่บริษัทรุกขยายธุรกิจที่ปรึกษาการออกตราสารหนี้เพิ่มเติม เพื่อลดการพึ่งพารายได้จากธุรกิจโบรกเกอร์ลงจากเดิมที่เป็นรายได้หลักเกือบ 90% โดยหวังว่าจะลดเหลือราว 50% ในปีนี้
"ปัจจุบันมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงของธุรกิจหลักทรัพย์ โดยเฉพาะการลดราคาค่าธรรมเนียม ซึ่ง AEC ดำเนินธุรกิจที่พึ่งพิงรายได้ทางเดียว ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในอนาคตได้ บริษัทฯจึงต้องการลดความเสี่ยงดังกล่าวลง และตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้จาก non Brokerage ในปีนี้เป็น 50% อีกทั้งในภาวะที่ดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การนำเสนอช่องทางการระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้ ก็น่าจะได้รับความน่าสนใจจากบริษัทเอกชน ซึ่งเราจะคัดเลือกบริษัทที่มีความน่าเชื่อถือและมีผลประกอบการที่ดี"นายชนะชัย กล่าว
สำหรับงานวานิชธนกิจ ในปีนี้ AEC มีงานที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 4-6 บริษัท ขนาดของบริษัทมีตั้งแต่ขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ในหลากหลายธุรกิจ ทั้งอสังหาริมทรัพย์, รับเหมาก่อสร้าง, Healthcare และ บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น คาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการนำบริษัทแรกเข้าตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป จากนั้นในปี 61 จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนเพิ่มเติมอีก 5-6 บริษัท