ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ประกาศกลยุทธ์และแผนการดำเนินธุรกิจปี 60 ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อที่ 6-8% ด้วยการผสานพลังทางธุรกิจร่วมกับมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) คาดการณ์การเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง สะท้อนความต้องการที่เพิ่มขึ้นครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจ กอปรกับเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวสมดุลและครอบคลุมในทุกภาคส่วนมากขึ้น โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการลงทุนของภาครัฐในโครงการโครงสร้างพื้นฐานและแนวโน้มการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศและภาคการส่งออก
นายโนริอากิ โกโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BAY คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 60 จะเติบโตที่ 3.3% โดยมีการเร่งการลงทุนของภาครัฐเป็นปัจจัยหลักขับเคลื่อนการเติบโต รวมทั้งการฟื้นตัวของการลงทุนภาคเอกชน ภาระหนี้ครัวเรือนที่ปรับตัวดีขึ้น และภาคต่างประเทศที่แข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ปี 60 ธนาคารตั้งเป้าหมายสินเชื่อเติบโตที่ 6-8% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อยู่ที่ประมาณ 3.7% ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยคาดว่าจะเติบโตสูงกว่า 5% และอัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่ระดับต่ำกว่า 2.5%
ธนาคารยังวางแผนที่จะขายหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) ออกไปราว 1-3 พันล้านบาทในปีนี้ จากปีก่อนที่ขาย NPL ออกไปแล้วคิดเป็นมูลค่า 2.8 พันล้านบาท ทั้งนี้เพื่อเป็นการลดระดับสัดส่วน NPL ของธนาคารให้เป็นไปตามเป้าหมายที่จะควบคุมให้อยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5% โดยในสิ้นปี 59 ธนาคารมีมูลค่า NPL อยู่ที่ราว 3 หมื่นล้านบาท
ส่วนการตั้งสำรองฯในปี 60 ธนาคารคาดว่าจะยังตั้งสำรองฯในระดับที่ใกล้เคียงกับปีก่อนที่ระดับ 1.4-1.5% ของมูลค่าเงินให้สินเชื่อทั้งหมด เนื่องจากธนาคารมองว่ากลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีและกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ยังเป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังและติดตามในด้านคุณภาพหนี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจของไทยและเศรษฐกิจโลกโดยรวมยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำการค้าของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่ม ทำให้ธนาคารมีการติดตามสถานการณ์ของลูกค้าทั้ง 2 กลุ่มเป็นพิเศษในปีนี้
"ปีที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้งสำรองเต็ม 100% ของลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ 1 รายที่เริ่มเห็นสัญญาณว่ามีโอกาสเป็น NPL เพราะสถานการณ์การดำเนินธุรกิจไม่ค่อยดีนัก แม้ว่าลูกค้ารายนั้นยังไม่ถูกจัดชั้นเป็น NPL ก็ตาม แต่ธนาคารก็ต้องตั้งสำรองไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง ส่งผลให้ NPL ในไตรมาส 4/59 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.24% จากไตรมาส 3/59 อยู่ที่ 2.1%"นายโนริอากิ กล่าว
สำหรับการเติบโตของสินเชื่อรวมในปีนี้ สินเชื่อที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนของการขยายตัวสินเชื่อรวมของธนาคารในปีนี้ คือ สินเชื่อรายย่อยที่ธนาคารคาดว่ายังสามารถขยายตัวเป็นตัวเลข 2 หลักต่อเนื่องจากปีก่อนที่ขยายตัวราว 15.9% โดยในปีนี้ธนาคารมองว่ากลุ่มลูกค้ารายย่อยยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ เพราะการบริโภคเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้น
ส่วนสินเชื่อเอสเอ็มอีของธนาคารในปีนี้คงไม่เน้นการเติบโตมากนัก เพราะยังเป็นกลุ่มที่ธนาคารเฝ้าระวัง ซึ่งธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อเอสเอ็มอีขยายตัว 0% ลดลงจากปีก่อนที่เติบโต 6.5% ส่วนสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ตั้งเป้าเติบโต 8% เท่ากับปีก่อน
นายโนริอากิ กล่าวอีกว่า ด้านงบลงทุนด้านเทคโนโลยีของธนาคารในช่วง 3 ปีนี้ (ปี 60-62) ได้ตั้งไว้ที่ 30 ล้านเหรืยญสหรัฐฯ เพื่อใช้ลงทุนในรูปแบบ Venture Capital ภายใต้กรุงศรี ฟินโนเวท ที่จะใช้เน้นการลงทุนด้านระบบการชำระเงิน (Payment System) และเทคโนโลยีด้านการประมวลผล (AI) เพื่อการก้าวไปสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิทัล แบงก์กิ้ง และเพื่อช่วยในการลดต้นทุนของธนาคารให้ต่ำลง
ในอนาคตแนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธนาคารจะได้รับผลกระทบจากการเปิดให้บริการพร้อมเพย์ ทำให้ธนาคารจะต้องมีการลดต้นทุนเพื่อมาชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่ลดลงไป และรักษาผลกำไรของธนาคารให้ใกล้เคียงกันหรือเพิ่มขึ้นในแต่ละปี นอกจากนี้ ธนาคารยังไม่ปิดโอกาสในการเข้าควบรวมกิจการอื่นๆ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตของธนาคารในอนาคต ซึ่งธนาคารก็มีการศึกษาในเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง