บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เผยแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 60 ว่า เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ขณะเดียวกันในปีนี้จะเริ่มพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบอีก 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท และเริ่มดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าด้วย เพื่อทยอยปรับสัดส่วนโครงการในมือและรายได้บริษัท
สำหรับปี 60 ตั้งเป้าหมายยอดขายเพิ่มขึ้น 20% มาที่ 1.3 หมื่นล้านบาท จาก 1.08 หมื่นล้านบาทปีก่อน ขณะที่วางเป้าหมายรายได้ปีนี้ที่ 6 พันล้านบาท ซึ่งมียอดขายรอโอน (Backlog) รองรับอยู่แล้วที่ 77%
นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ORI กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในปี 60 บริษัทฯตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 6,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ราว 12,885 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ภายใน 3 ปี (60-62) ซึ่งปีนี้จะรับรู้รายได้ราว 4,600 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเป้าหมายรายได้ปีนี้ อีกทั้งยังตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้เพิ่มขึ้น 20% มาอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท จากปีก่อนมียอดขายอยู่ที่ 10,844 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทฯเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 9 โครงการ รวมมูลค่าโครงการประมาณ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ 3 โครงการ มูลค่า 6,400 ล้านบาท ,นอตติ้ง ฮิลล์ 3 โครงการ มูลค่า 5,400 ล้านบาท ,เคนซิงตัน 2 โครงการ มูลค่า 2,500 ล้านบาท ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะเริ่มพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบอีก 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทได้เริ่มดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า เพื่อทยอยปรับสัดส่วนโครงการในมือและรายได้ของบริษัท ซึ่งปีที่ผ่านมาได้เซ็นสัญญาก่อสร้างโรงแรม Holiday inn & Suites โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตสิ่งแวดล้อม (EIA) คาดว่าจะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ปีนี้ และน่าจะเปิดให้บริการได้ในปี 62 รวมถึงยังมีการขยายธุรกิจไปสู่การพัฒนาโครงการในรูปแบบ Community mall คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาส 3/60 อีกทั้งยังอยู่ระหว่างศึกษาพัฒนาเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ด้วย
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประมาณ 98% และอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่าอยู่ที่ 2% โดยตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนรายได้จากค่าเช่าในปี 62 เป็น 5-10%
โครงสร้างธุรกิจปัจจุบัน ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
"เรายังคงเดินหน้ายึดตลาดคอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม-แมส ระดับราคา 2-5 ล้านบาท ครอบคลุมเส้นทางรถไฟฟ้า 5 สาย ทั่วทั้งกรุงเทพฯชั้นในและชั้นนอก เพื่อตอกย้ำความสำเร็จของเราในการทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับคอนโดมิเนียมที่หรูหราแต่จับต้องได้ หรือ Affordable Premium Condo" นายพีระพงศ์ กล่าว
ในปี 60 บริษัทฯ ได้วางวิสัยทัศน์ใหม่ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ด้วยการมุ่งเป้าเป็น "Your Digital Butler" เพื่อหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรมและการบริการหลังการขาย มาเป็นปัจจัยที่ 4 และปัจจัยที่ 5 ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยยุค Digital Life Attitude โดยภายใต้แนวคิดดังกล่าว บริษัทฯมีแนวทางการดำเนินการ 4 เรื่อง ได้แก่ การตอบโจทย์ชีวิตดิจิทัลด้วยเซอร์วิสแอพพลิเคชั่น ,การเป็นมากกว่าคอนโดมิเนียมด้วยบริการระดับโรงแรม (Hotel Service) ,การจับมือกับพันธมิตรเพื่อมอบสิทธิพิเศษในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้อยู่อาศัย และการดูแลรักษาความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ
ล่าสุด บริษัทฯเริ่มตอบโจทย์ Digital Life Attitude ด้วยการจับมือกับบริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเท็ม จำกัด (บีเอสเอส) ผู้ให้บริการบัตรแรบบิท จัดทำบัตร ORIGIN Family Club Card ใช้บัตรเพียงใบเดียวเข้าได้ทั้งคอนโดมิเนียมและรถไฟฟ้าบีทีเอส พร้อมได้รับทั้งแต้มของบริษัทและแต้มของแรบบิทสำหรับใช้รับสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย โดยจะทยอยส่งมอบบัตรดังกล่าวให้แก่ผู้อยู่อาศัยของบริษัทตั้งแต่ 1 ก.พ.นี้เป็นต้นไป
หลังจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวแอพพลิเคชั่น บนสมาร์ทโฟน “ORIGIN Digital Butler” เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ให้ทำทุกอย่างได้ง่ายเพียงแค่ปลายนิ้ว โดยขณะนี้มีพันธมิตรในการจัดทำแอพพลิเคชั่นแล้ว
"บริษัทเชื่อมั่นว่าชีวิตในฝันเป็นสิ่งที่สร้างได้ การดำเนินการทั้ง 4 เรื่อง จึงจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ฝันของผู้อยู่อาศัยเป็นจริง ทำให้เกิดการบอกต่อ และทำให้แบรนด์ที่อยู่อาศัยของออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้เติบโตไปได้อย่างยั่งยืน"นายพีระพงศ์ กล่าว