นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง (TKN) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมในปี 60 เติบโต 15-20% ซึ่งการตั้งเป้าหมายในปีนี้ถือว่าเป็นการตั้งเป้าหมายแบบอนุรักษ์นิยม (Conservative) เพราะบริษัทยังมองว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจน ทำให้การบริโภคยังคงชะลอตัวอยู่บ้าง อีกทั้งไรช่วง 2 ปีที่ผ่านมาตลาดสาหร่ายทอดกรอบมีการเติบโตได้เพียงเล็กน้อยหลังจากที่มีการเติบโตมามากในช่วงก่อนหน้านี้ แต่อย่างไรก็ตามบริษัทยังเชื่อว่าตลาดสาหร่ายทอดกรอบยังคงมีการเติบโตได้อยู่ โดยเฉพาะตลาดในประเทศที่สถานการณ์ต่างๆเริ่มนิ่งขึ้น การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาดีขึ้น และการบริโภคก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น รวมถึงการแข่งขันทางการตลาดของคู่แข่งที่เริ่มมากขึ้น โดยการนำศิลปินเกาหลีมาเป็นพรีเซนเตอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่มองว่าจะช่วยกระตุ้นตลาดสาหร่ายทอดกรอบในปีนี้ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง โดยในปีก่อนบริษัทคาดว่าทำยอดขายรวมเติบโตราว 25% โดยกลยุทธ์ของบริษัทในปีนี้จะมุ่งเน้นการขยายตลาดและฐานลูกค้าในประเทศจีนเพิ่มขึ้น โดยจะเป็นการทำการตลาดแบบจริงจังมากขึ้น โดยการขายช่องทางการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยจะต้องมีการหาพันธมิตรในประเทศจีนเพื่อเป็นตัวแทนในการจัดจำหน่ายเพิ่มขึ้น ซึ่งในประเทศจีนมีเมืองที่บริษัทมองว่าเป็นโอกาสที่บริษัทจะสามารถขยายตลาดได้ทั้งหมด 28 เมือง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจัดจำหน่ายไนประเทศจีนอยู่เพียง 2 เมือง คือ กวางเจา และเซี่ยงไฮ้ ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างการมองหาพันธมิตรในจีนเพื่อช่วยขยายตลาดของผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยไนประเทศจีน
อีกทั้งการทำการตลาดในประเทศจีนนั้นบริษัทจะต้องมีความเข้าใจถึงพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง และมีการสื่อสารไปถึงผู้บริโภคให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในประเทศจีนมีความหลากหลายในด้านพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างกันไนแต่ละเมือง ซึ่งการที่บริษัทจะทำการตลาดให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในประเทศจีนจะต้องมีการใช้เอเจนซี่ระดับโลกในการเข้ามาสนับสนุนงานการตลาดร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น เพื่อสื่อสารไปถึงกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุด เพราะในปีนี้การทำการตลาดในประเทศจีนบริษัทต้องการให้มีการสร้างการรับรู้และการจดจำในแบรนด์เถ้าแก่น้อย (Brand Awareness) มากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนยอดขายในประเทศจีนอยู่ที่ 30% ของยอดขายรวม และมีโอกาสที่ส่ดส่วนยอดขายในประเทศจีนจะเพิ่มมากขึ้นหากบริษัทประสบความสำเร็จไนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผสมผสานกับการทำการตลาดในจีนแบบจริงจัง
“เราเข้าไปในตลาดประเทศจีนมา 5 ปีแล้ว ตอนแรกยังไม่รู้รสนิยมของเขาเลย แต่ก็ได้เรียนรู้จากแพ็กเกจจิ้งที่จากปกติจะใช้ฉลากภาษาอังกฤษ แต่ที่จีนเราใช้ฉลากภาษาจีน ปรากฏว่าคนจีนไม่ค่อยโอเค เพราะคิดว่าเป็นสินค้าของประเทศเขา ทำให้เราเรียรู้และเปลี่ยนแปลงตลอด แต่เราก็โชคดีที่ได้ Local Distributor ที่เก่งในเมืองกวางเจาและเซี่ยงไฮ้ เหมือนกับคนท้องถิ่นทำตลาดให้เลย รวมทั้งคนจีนได้รู้จักเถ้าแก่น้อยจากหลายๆประเทศที่ได้เข้าไปทำตลาดแล้ว"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว
ส่วนการขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ บริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาเข้าไปรุกตลาดในปะเทศเวียดนามเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีพันธมิตรท้องถิ่นที่เป็นตัวแทนการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยในประเทศเวียดนามเพียงรายเดียว ซึ่งที่ผ่านมายอดขายในประเทศเวียดนามมีการเติบโตที่สูงมาก และยังมีโอกาสในการเติบโตได้อีกในระยะต่อไป ซึ่งบริษัทก็ได้มีการศึกษาในการขยายตลาดเวียดนามเพื่อเสริมศักยภาพการเติบโตของบริษัท และตอกย้ำการเป็นแบรนด์ระดับเอเชียในปัจจุบัน ก่อนที่จะก้าวไปสู่เป้าหมายการเป็นโกลบอลแบรนด์ในปี 67 โดยจะทีรายได้อยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีการล่งออกสินค้าไปขายราว 40 ประเทศ โดยมีส่ดส่วนยอดขายจากต่างประเทศอยู่ที่ 57% ขณะที่สัดส่วนยอดขายในประเทศอยู่ที่ 43%
สำหรับงบการตลาดของบริษัทในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 5-6% ของยอดขาย หรือกว่า 100 ล้านบาท โดยจะเน้นการทำการตลาดแบบ Online Marketing มากขึ้น โดยเฉพาะช่องทางโซเชียลมีเดียต่างๆ เพราะปัจจุบันผู้คนส่วนใหญ่รับสื่อผ่านช่องทางออนไลน์มากที่สุด การทำการตลาดแบบ Online Marketing จะช่วยให้การสื่อสารในเรื่องของผลิตภัณฑ์ของเถ้าแก่น้อย โปรโมชั่น แคมเปญ และกิจกรรมต่างๆเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและกว่างขวาง
นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดแคมเปญแรกของปี 60 ด้วยการเปิดตัวพรีเซนเตอร์ใหม่ คีอ "GOT7" ศิลปินดังจากประเทศเกาหลี ขวัญใจวัยรุ่นชาวเอเชียและคนไทย โดย 7 หนุ่มประกอบไปด้วย แจบอม มาร์ค แจ็คสัน จินยอง ยองแจ แบมแบม ยูคยอม บินตรงมาร่วมกิจกรรมกับเถ้าแก่น้อยเมื่อวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน โดยใช้งบการตลาดกว่า 50 ล้านบาทในการทำแคมเปญนี้ ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบครบวงจรหรือ 360 องศา ทั้งช่องทางออฟไลน์ และออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์ (TVC) และสื่ออื่นๆ รวมถึงกิจกรรมบนโลกโซเชียลมีเดีย ทั้งเฟซบุ๊ค อินสตราแกรม ทวิสเตอร์ ฯลฯ รวมถึงการสนับสนุนคอนเสิร์ตในรูปแบบใหม่ครั้งแรกในประเทศไทย โดยจะเปิดเผยรายละเอียดเร็วๆนี้ โดยล่าสุดของการเปิดตัว GOT7 พรีเซนเตอร์ใหมม่ของเถ้าแก่น้อยในวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากและช่วยสนับสนุนยอดขายไหมกับบริษัทได้เป็นอย่างดี เพราะมีผู้ร่วมสนุปส่งใบเสร็จตามกติกาการเข้าร่วมที่บริษัทกำหนด 200 บาท/ใบเสร็จ โดยมีจำนวนใบเสร็จที่ซื้อผลิตภัณฑ์เถ้าแก่น้อยอยู่ที่ 20,000 ใบเสร็จภายในวันที่ 4 ก.พ.ที่ผ่านมา
“การเลือก GOT7 มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเถ้าแก่น้อย เพราะมีคาร์แรคเตอร์ที่ตรงกัน ทั้งความสดใส มีเสน่ห์ ขี้เล่น และที่สำคัญคือการเป็นตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ที่สามารถสานฝันจนกลายเป็นกลุ่มศิลปินที่มีชื่อเสียงที่ไม่ใช่แต่ในเกาหลีเท่านั้นแต่ยังสามารถครองใจวัยรุ่นทั่วเอเชียรวมถึงในประเทศไทยอีกด้วย ขณะที่ในปีนี้กระแส K-Pop เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอย่างมากในเมืองไทยอีกครั้ง และจะนิยมสูงมากกว่าเดิมโดยเฉพาะจากแฟนคลับศิลปินเกาหลี ที่มีจำนวนนับล้านคนทั่วประเทศ โดยที่ผ่านมากิจกรรมที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และในโลกออนไลน์ แต่เถ้าแก่น้อยจะช่วยส่งมอบความสนุกให้กับวัยรุ่นต่างจังหวัดได้มีโอกาสสัมผัสและเป็นส่วนหนึ่งในคอนเสิร์ตอย่างใกล้ชิด ในธีม เวลาสนุกของ GOT7 ต้องเถ้าแก่น้อย ซึ่งถือเป็นการเป็นการขยายฐานลูกค้าของเถ้าแก่น้อยไปยังภาคต่างจังหวัดมากขึ้นอีกด้วย"นายอิทธิพัทธ์ กล่าว