โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้นบมจ.สหมิตรถังแก๊ส (SMPC) หลังมองกำไรปี 60-61 เติบโตออย่างต่อเนื่อง รับผลบวกจากราคาขายถังก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) ที่จะปรับเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการถังก๊าซยังเติบโตได้อีกมากในตลาดแอฟริกา และเอเชียใต้ โดยเฉพาะในบังคลาเทศ ที่มีการเปลี่ยนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็น LPG รวมถึงประเทศศรีลังกาที่มีความต้องการที่สูงขึ้น ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ SMPC ยังคงมองหาโอกาสขยายการลงทุน ด้วยการตั้งโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดระยะเวลาขนส่งสินค้า รวมถึงอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายภาษี จากการส่งสินค้าไปจากไทยด้วย
ราคาหุ้น SMPC พักเที่ยงอยู่ที่ 16.50 บาท ลดลง 0.20 บาท (-1.2%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.04%
แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ซื้อ 20.60 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 20.00 เออีซี ซื้อ 19.00 นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า จากข้อมูลการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งที่ผ่านมามีภาพเป็นบวก ซึ่ง SMPC ยังยืนยันเป้าหมายการเติบโต 15-20% ต่อปี โดยยอดขายถังก๊าซจะเพิ่มเป็น 6.5 และ 7.5 ล้านใบในปี 60-61 ทำให้ SMPC จำเป็นจะต้องเพิ่มกำลังการผลิตอีกครั้งในปลายปีนี้ ซึ่งอยู่ระหว่างการมองหาโรงงานแห่งใหม่ที่ต่างประเทศ เพื่อให้ที่ตั้งใกล้ลูกค้ามากขึ้น ช่วยลดเวลาการส่งมอบและลดภาษีนำเข้า ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมยังเป็นบวก เพราะยังมีช่องว่างของความต้องการบริโภคก๊าซ LPG ในประเทศแถบแอฟริกาและเอเชียใต้อีกมาก เช่น ประเทศเคนยาเพิ่งประกาศแจกถังก๊าซ 5 ล้านใบแก่ประชากร ทำให้จะมีออเดอร์ถังบรรจุเพิ่มเติมอีก ขณะที่การแข่งขันในอุตสาหกรรมนี้เป็นไปอย่างจำกัด เพราะต้องอาศัยความชำนาญ และขนาดผลิตที่ใหญ่เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ซึ่งที่ผ่านมาจึงมีเพียงผู้ผลิตรายเล็ก ๆ เข้าสู่ตลาดและเน้นการขายเฉพาะพื้นที่เป็นหลัก ขณะที่ SMPC ในฐานะมีกำลังการผลิตเป็นอันดับ 1 ของโลกมีความได้เปรียบทางการแข่งขันสูง ทั้งในเชิงการขยายที่รวดเร็วกว่าและต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า ทั้งนี้ คาดว่ากำไรทั้งปี 59 ของ SMPC จะเติบโต 25% จากปีก่อนหน้า มาอยู่ที่ 558 ล้านบาท และคาดว่า SMPC จะทำสถิติสูงสุดใหม่ของยอดขายรายไตรมาสได้ในไตรมาส 4/59 โดยเติบโต 7% จากไตรมาสก่อนหน้า และช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณขายและราคาขายต่อใบที่เพิ่มขึ้น ด้วยจุดเด่นของการปรับราคาขายได้เร็วตามราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้น จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ยังสูงใกล้ 30% ขณะเดียวกันโดยปกติแล้วไตรมาสสุดท้าย SMPC จะมีค่าใช้จ่ายสูงเป็นพิเศษโดยเฉพาะค่าใช้จ่ายพนักงาน ซึ่งคาดว่าเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นแรงกดดันให้กำไรไตรมาส 4/59 ทำได้ที่ 136 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนหน้า แต่จะลดลง 6% จากไตรมาส 4/58 สำหรับกำไรของ SMPC ที่คาดว่าจะเติบโตได้ดีต่อเนื่องนั้น เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงและราคาเหล็กที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ราคาขายต่อใบปรับตัวสูงขึ้น เมื่อรวมกับการใช้กำลังการผลิตที่น่าสูงเกิน 90% จะช่วยให้รายได้การขายในปี 60 เติบโตดีกว่าปี 59 และดีกว่าปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจาก SMPC คือผู้นำในอุตสาหกรรมซึ่งได้เปรียบในเรื่องการปรับราคาขายที่รวดเร็ว และการประหยัดต่อขนาด ทำให้คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะยังดีต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้อัตรากำไรสุทธิสูงเกิน 15% และกำไรเติบโตได้ดีในปี 60-61 ในอัตรา 19% และ 13% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูงมากถึง 43% นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 60 ของ SMPC ยังคงสดใสต่อเนื่อง จากความต้องการถังก๊าซ LPG ที่ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากในตลาดแอฟริกา และเอเชียใต้ โดยเฉพาะในประเทศเอเชียใต้ เช่น ประเทศบังคลาเทศ ที่มีการเปลี่ยนการใช้พลังงานเชื้อเพลิงเป็น LPG รวมถึงประเทศศรีลังกา ที่มีความต้องการที่สูงขึ้น ตามสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวได้ดีขึ้น ขณะที่ SMPC ยังคงมีการขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่สูงขึ้น โดยในปีนี้จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 7.2 ล้านใบ เพิ่มจากปีก่อน ที่มีกำลังการผลิต 6.2 ล้านใบ นอกจากนี้ได้ปรับคาดการณ์ปริมาณขายในปี 60 ขึ้นเป็น 6.5 ล้านใบ จากเดิมที่ประเมินไว้ที่ 6.2 ล้านใบ คิดเป็นอัตราการใช้กำลังการผลิตที่คาดว่าจะยังคงสูงถึง 90% รวมถึงปรับราคาขายถังก๊าซเฉลี่ยเพิ่มขึ้น จากราคาเหล็กที่มีแนวโน้มสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ ดังนั้น จึงปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรสุทธิปี 60 ขึ้นจากเดิม 8% เป็น 688 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22% จากปีก่อน และยังได้คาดการณ์กำไรสุทธิในงวดไตรมาส 1/60 น่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ จากทิศทางราคาเหล็กที่ปรับตัวขึ้นค่อนข้างมากในไตรมาส 4/59 ส่งผลให้คาดว่าจะมีคำสั่งซื้อใหม่ ๆ ที่เข้ามาเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะทยอยส่งมอบในไตรมาสแรก ขณะที่ SMPC จะได้รับผลบวกทันทีจากกำลังการผลิตใหม่ที่เพิ่มขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ได้ประเมินปริมาณการขายเฉลี่ยในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตในระดับไม่ต่ำกว่า 15% ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการถังก๊าซในภูมิภาคแอฟริกาและเอเชียใต้ที่คาดว่ายังเติบโตสูง ดังนั้น จากการเติบโตของปริมาณขายต่อปีที่ค่อนข้างสูง SMPC จึงจำเป็นต้องขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน SMPC ยังสามารถขยายกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศได้อย่างน้อยจนถึงปี 61 SMPC ยังคงมองหาโอกาสในการขยายการลงทุน การตั้งโรงงานใหม่ไปยังต่างประเทศด้วย ซึ่งคาดว่าจะช่วงลดระยะเวลาขนส่งสินค้า รวมถึงอาจช่วยลดค่าใช้จ่ายภาษีจากการส่งสินค้าไปจากประเทศไทย สำหรับผลประกอบการของ SMPC ในไตรมาส 4/59 ประเมินว่าน่าจะดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 3/59 เนื่องจากคาดว่ารายได้ที่มีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ จากความต้องการถังก๊าซในตลาดแอฟริกา และเอเชียใต้ ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาเหล็กที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ทำให้ลูกค้าเร่งสั่งซื้อสินค้าก่อนที่ราคาขายจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/59 จะกลับมาสู่ระดับปกติที่ประมาณ 30% จากราคาขายโดยเฉลี่ยที่ปรับเพิ่มขึ้น และคาดว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตจะไม่ต่ำกว่าไตรมาส 3/59 ที่ 95% อย่างไรก็ตาม SMPC จะมีค่าใช้จ่ายพนักงานในงวดไตรมาส 4/59 ที่สูงกว่าปกติ ทำให้ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (SG&A) เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ยังคงคาดการณ์กำไรสุทธิในไตรมาส 4/59 ไว้ ที่ 140 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ลดลง 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิทั้งปียังคงคาดว่าจะอยู่ที่ 563 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน "เราปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 60 ขึ้นเป็น 20 บาท จากเดิมที่ 17 บาท เนื่องจากเรามีการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้ขึ้น และมีการปรับการประเมินมูลค่าด้วย PER ขึ้นเป็น 15 เท่า จากเดิมที่ 14 เท่า จากอัตราการเติบโตของกำไรที่สูงขึ้น ดังนั้น จาก upside ที่สูงขึ้น เราจึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ โดยคาดว่าจะได้รับผลบวกจากแนวโน้มกำไรปี 59 ที่เพิ่มขึ้นโดดเด่น และมีลุ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อในไตรมาส 1/60 ขณะที่ด้านฐานะการเงินค่อนข้างแข็งแกร่ง โดยคาดอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.6 เท่า"นักวิเคราะห์ กล่าว นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เออีซี กล่าวว่า ได้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรของ SMPC ตั้งแต่ปี 60 เพื่อสะท้อนปัจจัยบวกจากแนวโน้มขาขึ้นของราคาเหล็ก หนุนให้ SMPC ได้รับประโยชน์ 2 อย่าง ได้แก่ ปริมาณขายถังก๊าซเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าเร่งสั่งออเดอร์เนื่องจากกลัวราคาถังก๊าซแพงขึ้น และราคาขายเฉลี่ยถังก๊าซเพิ่มขึ้น เพราะ SMPC มีนโยบายตั้งราคาขายด้วยวิธี Cost Plus (ราคาต้นทุน+มาร์จิ้น) ดังนั้น เมื่อราคาวัตถุดิบเหล็กสูงขึ้น จะทำให้กำไรต่อถังก๊าซเพิ่มขึ้นตามไปด้วย อีกทั้งปีนี้ SMPC ยังขยายกำลังผลิตถังก๊าซเพิ่มเป็น 7.2 ล้านใบ จาก ปี 59 ที่ 6.2 ล้านใบ ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่คาดปี 60-61 คาดว่า SMPC จะมีกำไรสุทธิที่ 773 ล้านบาท และ 809 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 18.2%