นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดจำหน่ายกองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 130 (KTFF130) ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท โดยผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.55% ต่อปี ซึ่งกองทุนมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
กองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China,Macau Branch อัตราผลตอบแทน 1.86% ต่อปี,China Construction Bank (Asia) Corporation Limited อัตราผลตอบแทน 1.83% ต่อปี ,Commercial Bank of Qatar อัตราผลตอบแทน 1.86% ต่อปี,Agricultural Bank of China (Hong Kong Branch) อัตราผลตอบแทน 1.79% ต่อปี,AI Khalij Commercial Bank อัตราผลตอบแทน 1.89% และบัตรเงินฝาก Industrial and Commercial Bank of China Limited (Luxembourg Branch) อัตราผลตอบแทน 1.83% ต่อปี โดยลงทุนในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 18% ยกเว้นเงินฝากประจำ Agricultural Bank of China และ AI Khalij Commercial Bank ลงทุนสถาบันละ 14% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 0.28% ต่อปี
สำหรับแนวโน้มอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ อายุ 10 ปีขึ้นไป มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50-0.75% ในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ตามที่คาดการณ์ไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติ มียอดซื้อสุทธิจำนวน 23,877 ล้านบาท ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลมีการปรับตัวลดลงทุกช่วงอายุ ยกเว้นอัตราผลตอบแทนรุ่น 20 ปี ที่ปรับเพิ่มขึ้น 2 bps. หลังจากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด โดยระบุเพียงต้องการเวลามากขึ้นในการจับตาเศรษฐกิจส่งผลให้ตลาดปรับลดความเป็นไปได้ในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม
โดยอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี อยู่ที่ 1.21% อายุคงเหลือ 5 ปี อยู่ที่ 1.93% อายุคงเหลือ 10 ปี อยู่ที่ 2.49% ต่อปี ปัจจัยที่ต้องติดตามจะเป็นการดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลก ในระยะเวลาข้างหน้า ผลกระทบของการที่สหราชอาณาจักรจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ต่อสหภาพยุโรป และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการจัดการลงทุนมีมติจ่ายเงินปันผลกองทุนเปิดกรุงไทยหุ้นระยะยาว (KTLF) สำหรับรอบผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2559-30 กันยายน 2560 จากผลการดำเนินงานสิ้นสุด ณ วันที่ 4 มกราคม 2560 โดยจ่ายเงินปันผลในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2560 ในอัตรา 0.40 บาทต่อหน่วย