นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นเป็นดาวรุ่งปี 60 จากการเร่งตัวของอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการกลับมาขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี โดยยังแนะนำลงทุนในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และอินเดีย
ทั้งนี้ ยังคงแนะนำ Overweight ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ส่วนตลาดหุ้นญี่ปุ่นมีปัจจัยบวกจากค่าเงินเยนอ่อนค่าและการเติบโตอย่างต่อเนื่องของกำไรบริษัทจดทะเบียน ประกอบกับ Valuation ที่ยังถูกจึงเป็นโอกาสลงทุน ส่วนตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับฐานจากผลกระทบของการยกเลิกการใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี น่าจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวเพียงระยะสั้น ๆ แต่ในระยะยาวศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี
พร้อมแนะนำให้ขายทำกำไรน้ำมันที่ราคาปรับขึ้นมามากและข่าวดีจากความตกลงลดปริมาณการผลิตได้ถูกประกาศออกมาหมดแล้ว และทยอยสะสมทองคำที่ย่อตัวลงมากเพื่อกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน
อย่างไรก็ดี ในปี 60 ยังมีความเสี่ยงที่ต้องจับตา ได้แก่ 1) ความเสี่ยงทางการเมืองจากการเจรจาต่อกรณีที่สหราชอาณาจักรจะแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) และการเลือกตั้งในยุโรปหลายประเทศ 2) ราคาน้ำมันที่อาจปรับตัวลดลงหากกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ตัดสินใจกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตในการประชุมปลายเดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ และ 3) แนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น เช่นการปรับขึ้นดอกเบี้ยและการลดการอัดฉีดสภาพคล่องผ่านมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4
ทั้งนี้ ประเมินว่าภาพเศรษฐกิจโลกในปี 60 จะมีความแตกต่างไปจากปี 59 เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเงินเฟ้อที่จะกลับมาเร่งตัวขึ้น ตามราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่ฟื้นตัว ส่งผลต่อรูปแบบการใช้นโยบายเศรษฐกิจ โดยเปลี่ยนจากการใช้นโยบายการเงิน เช่น การทำ QE และดอกเบี้ยติดลบ ไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลัง โดยจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว คือ การชนะการเลือกตั้งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ และการครองเสียงข้างมากของพรรค Republican ในสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้เกิดการผลักดันมาตรการลดภาษี และการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสหรัฐฯ รวมถึงเศรษฐกิจโลกในปี 60
ในปี 59 เศรษฐกิจโลกขยายตัวที่ 3.0% นับว่าต่ำสุดตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 51 เนื่องจากการลงทุนและการค้าโลกที่หดตัวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ส่วนการบริโภคไม่ได้ฟื้นตัวตามคาด เนื่องจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคอยู่ในระดับต่ำ ส่วนในปี 60 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวได้ดีขึ้นที่ 3.4% ตามการฟื้นตัวของการลงทุนและการค้าโลกประกอบกับแรงส่งจากนโยบายการคลัง โดยเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลกในปี 2560 จะส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกกลับมาขยายตัวอีกครั้งหลังจากไม่ขยายตัวมาตั้งแต่ปี 57
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโสสายการตลาด บลจ.ทิสโก้ กล่าวว่า ในปีนี้ยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นปีที่หลายประเทศหันมาผลักดันนโยบายการคลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะสหรัฐฯ และญี่ปุ่น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทในตลาดหุ้นทำให้ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง โดยแนะนำลงทุนใน กองทุนเปิด ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ อันเฮดจ์ (TUSEQ-UH) เน้นลงทุนในดัชนี S&P500 และมีโอกาสได้ผลตอบแทนเพิ่มจากแนวโน้มการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เนื่องจากเป็นกองทุนที่ไม่มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน และ กองทุนเปิด ทิสโก้ เจแปน อิควิตี้ (TISCOJP) ที่ลงทุนในบริษัทญี่ปุ่นขนาดใหญ่ 225 แห่ง อ้างอิงดัชนี NIKKEI 225
นอกจากนี้ กองทุนเปิด ทิสโก้ อินเดีย อิควิตี้ (TISCOIN) ซึ่งลงทุนในตลาดหุ้นอินเดีย ก็เป็นอีกกองทุนที่มีความน่าสนใจในฝั่งเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพ โดยตลาดหุ้นยังซื้อขายกันที่ระดับราคายังไม่แพง นอกจากตลาดหุ้นอินเดีย บลจ.ทิสโก้ยังคงแนะนำตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลพยายามปฏิรูปเศรษฐกิจในหลายปีที่ผ่านมา ขณะที่การเชื่อมต่อระหว่างตลาดหุ้น Shenzhenกับ Hongkong ในช่วงปลายปีที่ผ่านมาจะส่งผลให้มีเม็ดเงินมาลงทุนในตลาดหุ้นจีนที่ฮ่องกงมากขึ้น จึงแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ ไชน่า H-Share อิควิตี้ (TISCOCH) ที่ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงโดยอิงกับดัชนี HSCEI อีกกองหนึ่ง
ขณะที่ตลาดหุ้นไทย แม้จะปรับตัวขึ้นมามากแล้วแต่ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการคัดสรรหุ้นรายตัว จึงขอแนะนำ กองทุนเปิด ทิสโก้ Mid/Small Cap อิควิตี้ (TISCOMS) ที่มีนโยบายลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดกลางและเล็กซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง คัดเลือกโดยผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ และกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทยที่มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลในระดับสูง มีการจ่ายปันผลที่ดีและสม่ำเสมอ และมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง อย่างกองทุน ทิสโก้ ไฮ ดิวิเดนด์ หุ้นทุน (TISCOHD) และกองทุนเปิด ทิสโก้ ดิวิเดนด์ ซีเล็ค อิควิตี้ (TISCODS)
สำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง และต้องการผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากเงิน สามารถลงทุนในกองทุนเปิด ทิสโก้ อินคัม