นายราจีฟ มังกัล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) มั่นใจว่ายอดขายเหล็กในปี 59/60 (เม.ย.59-มี.ค.60) จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ระดับ 10% หลังผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนแรกของปี 59/60 ทำได้ดีกว่าเป้า ขณะที่ในไตรมาสสุดท้าย จะขายสินค้าเหล็กเส้นก่อสร้างทาทา ทิสคอน ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าเหล็กมูลค่าเพิ่มมากขึ้น และขยายตลาดไปยังประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่ม CLMV ซึ่งมีเศรษฐกิจเติบโตในระดับสูง
รวมถึงปัญหาการดั๊มพ์สินค้าเหล็กลวดคาร์บอนสูงจากจีนได้ผ่อนคลายลง เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ได้ทบทวนเพิ่มอัตราอากรตอบโต้การทุ่มตลาดสูงขึ้น เพื่อช่วยผู้ผลิตภายในประเทศ ประกอบกับการที่จีนได้ลดกำลังการผลิตเหล็กลง จะส่งผลต่อสินค้าส่งออกจากจีน นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากการเร่งรัดผลักดันแผนการลงทุนต่าง ๆ ของภาครัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ของประเทศ จะส่งผลให้ความต้องการใช้เหล็กสูงขึ้นด้วย
นอกจากนี้ในด้านการผลิตและการบริหารงาน บริษัทจะดำเนินการควบคุมต้นทุนภายในให้มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตต่อไป
สำหรับผลประกอบการปี 59/60 เชื่อมั่นว่าจะเป็นกำไรสุทธิ หลัง 9 เดือนมีกำไรสุทธิแล้ว 637 ล้านบาท แนวโน้มไตรมาส 4 ปี 59/60 (ม.ค.-มี.ค.60) มั่นใจว่าปริมาณขายจะดีต่อเนื่อง เพราะช่วงนี้เป็นไฮซีซั่น เป็นฤดูขายสินค้า โดย 9 เดือน ปริมาณขาย 9.18 แสนตัน คาดปิดปีก็น่าจะได้ 1.25 ล้านตันตามเป้า โดยปัจจุบันสัดส่วนการขายเป็นในประเทศ 92-93% ส่งออก 6-7% ซึ่งเราจะเน้นขายในประเทศให้เพียงพอกับความต้องการก่อน
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทยังมีขาดทุนสะสม 3,500 ล้านบาท มีแนวทางที่จะนำกำไรสุทธิไปล้าง และพิจารณาแนวทางอื่นๆ เช่น สินทรัพย์ที่ไม่ได้ใช้งานอาจจะดำเนินการส่วนนั้นให้ชัดเจน ส่วนจะพิจารณาจ่ายปันผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริษัทจะพิจารณาตัดสินใจ ซึ่งจะมีการประชุมบอร์ดหลังปิดงบปี ประมาณเดือนเม.ย.-พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นได้ปรับขึ้นมาราว 35% ตรงนี้ก็น่าจะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้น
ส่วนแนวโน้มราคาขายเหล็กเส้นของบริษัทในช่วง 2-3 เดือนนี้ คาดว่าจะทรงตัวที่ 17.5-18.00 บาท/กก. ใกล้เคียงกับ 1 เดือนที่ผ่านมาเพราะราคาเหล็กขึ้นอยู่กับความต้องการและราคาวัตถุดิบในตลาดโลกซึ่งก็อยุ่ในช่วงคงที่ ถ้าอิงจากดีมานด์ก็มองราคาน่าจะอยู่แถว 17.5-18.00 บาท/กก.และไม่คิดว่าราคาจะต่ำกว่า 17 บาท/กก.
นายราจีฟ กล่าวถึงในปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค.61) บริษัทคาดว่าปริมาณการขายเหล็กจะเติบโต 8-10% จากปี 59/60 ที่คาดว่าจะจบที่ 1.25 ล้านตัน เติบโต 10% ตามเป้า โดยในปี 60/61 ที่คาดว่าจะเติบโต 8-10% จากดีมานด์ในประเทศ เรื่องที่ภาครัฐส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ส่งเสริมให้ดีมานด์เพิ่มขึ้น และสินค้านำเข้าจากจีนน้อยลงก็น่าจะทำให้ราคาต่างๆ ดีขึ้น เป็นจุดที่เป็นบวกน่าจะทำให้ธุรกิจของ TSTH ดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ภาระหนี้สินปรับดีขึ้น ปัจจุบันบริษัทได้ปลดหนี้ระยะยาวหมดแล้ว ส่งผลให้ D/E เหลือ 0.4 เท่า และสามารถลดภาระดอกเบี้ยไปได้ Fix Cost ของบริษัทก็ต่ำลง เป็นจุดที่พร้อมจะได้ผลประโยชน์ต่างๆ ที่จะตามมา
สำหรับความคืบหน้าการเจรจาขายเครื่องจักรในโรงถลุงเหล็กของบริษัท ขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาอยู่หลายราย ซึ่งเครื่องจักรทั้งหมดมีมูลค่าราคาตลาดที่ 1,000 ล้านบาท ขณะนีการเจรจายังไม่ข้อสรุป
"ภาวะเหล็กในประเทศแข็งแกร่งขึ้น จีนลดกำลังการผลิตลง จะทำให้การส่งสินค้าจากจีนมาเอเชียและเข้าไทยลดลง และการนำเข้ามาในราคาที่สูง เป็นประโยชน์ต่อ TSTH เพราะแทนที่จะนำเข้า ก็มาซื้อในประเทศดีกว่าเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจของเรา"นายราจีฟกล่าว