นางสาวศิริพร กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีแผนที่จะพัฒนาระบบ Emchoice อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความสะดวกในการลงทุนสำหรับสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งผนึกกำลังร่วมกับกลุ่มกรุงศรี และ MUFG เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำการบริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุนส่วนบุคคลให้แก่ลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นและบริษัทข้ามชาติอีกด้วย
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกบริษัทมีแผนที่จะเสนอขายกองทุนใหม่ 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงศรีโกลบอลเทคโนโลยีอิควิตี้(KF-GTECH) ชูศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นเทคโนโลยี มีนโยบายลงทุนในกองทุนหลัก T. Rowe Price Funds SICAV – Global Technology Equity Fund และกองทุนเปิดกรุงศรีไทยออลสตาร์ปันผล (KFTSTAR-D) ที่มีจุดเด่นคือสามารถลงทุนหุ้นไทยได้อย่างยืดหยุ่นโดยเลือกหุ้นเด่นจากทุกโมเดลที่เหมาะสมที่สุดในทุกสภาวะตลาด ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของหุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นขนาดใหญ่ หรือหุ้นขนาดเล็ก
โดยบริษัทยังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในระยะยาว ถึงแม้ว่าในระยะสั้นตลาดจะยังคงมีความผันผวนอยู่บ้าง แต่เชื่อมั่นว่าในระยะยาวตลาดหุ้นไทยยังมีศักยภาพและมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดี จากการลงทุนระยะยาวในหุ้นที่มีคุณภาพดี เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งและกำลังปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ยังเป็นที่น่าสนใจลงทุนเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหลักทรัพย์อื่น ๆ ในภูมิภาค รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมีความชัดเจนมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยมีแนวโน้มเคลื่อนไหวตามกระแสเงินลงทุนต่างชาติและปัจจัยภายนอกประเทศ เช่น การดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ เป็นต้น โดยในปีนี้แนะนำให้ผู้ลงทุนเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นเติบโตสูง รวมทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กซึ่งได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน ที่มีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
นางสาวศิริพร กล่าวอีกว่า สำหรับผลการดำเนินงานในปี 59 บริษัทมีทรัพย์สินสุทธิภายใต้การบริหาร เติบโตอยู่ที่ระดับ 12.7% ในส่วนของกองทุนรวมมีอัตราการเติบโตที่ 12.4% กองทุนส่วนบุคคลมีอัตราการเติบโตที่ 19.6% และกองทุนสำรองเลี้ยงชีพอัตราการเติบโตที่ 11.6% นอกจากนี้ยังได้รับแต่งตั้งให้บริหารกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ซึ่งจดทะเบียนแล้ว มูลค่ากว่า 6,400 ล้านบาท