โบรกเกอร์ เห็นพ้อง"ซื้อ"หุ้นบมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) มองเป็นโรงพยาบาลระดับ premium ที่น่าลงทุน มีโครงข่ายทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุด และการลงทุนขนาดใหญ่ในศูนย์สุขภาพจะส่งผลดีในระยะยาว และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ รวมถึง BDMS ยังมีระบบการจัดการที่ดี ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานโดยรวมยังเติบโตต่อเนื่อง ตามจำนวนผู้เข้าใช้บริการและรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งยังมีเป้าหมายขยายจำนวนโรงพยาบาลให้ครบ 50 แห่งในปี 62 ซึ่งจะช่วยหนุนมาร์จิ้นดีขึ้น
อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานปีนี้ จะมีอัตราเติบโตที่ชะลอบ้างจากฐานที่ใหญ่ขึ้น และการมีต้นทุนเพิ่มจากการลงทุนขยายธุรกิจ โดยคาดว่ากำไรในปีนี้จะอยู่ในช่วง 9,037-9,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 59 ที่คาดว่าจะมีกำไรอยู่ในช่วง 8,400-8,937 ล้านบาท ซึ่งไม่นับรวมรายการพิเศษ
สำหรับราคาหุ้น BDMS ปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงก่อนหน้านี้ น่าจะมาจากความกังวลต่อผลกระทบการยกเลิก Privilege Card "ล้านบาท...รักษาทุกโรค" เนื่องจากเข้าข่ายธุรกิจประกันสุขภาพซึ่งทางโรงพยาบาลไม่มีใบอนุญาตที่จะสามารถประกอบธุรกิจดังกล่าวได้ แต่เชื่อว่ากรณีดังกล่าวจะไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของราคาหุ้น และไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน เพราะจะบันทึกเป็นส่วนหักกำไรสะสมในงบดุล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อ BDMS ไม่มากนัก
ราคาหุ้น BDMS ช่วงบ่ายอยู่ที่ 21.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.20 บาท (+0.95%) ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.33%
เอเชีย เวลท์ ซื้อ 32.00 ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ซื้อ 27.50 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 27.30 กรุงศรี ซื้อ 27.00 ฟิลลิป(ประเทศไทย) ซื้อ 26.00 เคจีไอ (ประเทศไทย) ซื้อ 25.50 น.ส.มินทรา รัตยาภาส นักวิเคราะห์หลักทรัพย์อาวุโส บล.โมนูระ พัฒนสิน กล่าวว่า ในระยะสั้นหุ้น BDMS จะไม่เติบโตสูงเหมือนโรงพยาบาลขนาดกลาง เนื่องจากมีต้นทุนจากการขยายโรงพยาบาล ประกอบกับมีฐานผลประกอบการที่ใหญ่ขึ้น ทำให้การเติบโตของผลการดำเนินงานในปีนี้จะไม่หวือหวาโดยคาดว่าจะมีกำไรระดับ 9,037 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับกำไรที่ไม่รวมรายการพิเศษในปี 59 ที่คาดไว้ระดับ 8,400 ล้านบาท แต่หากรวมรายการพิเศษของปี 59 ที่มีการขายหุ้น 1.5% ในโรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ในช่วงไตรมาส 3/59 ก็ทำให้คาดว่ากำไรสุทธิของ BDMS ในปี 59 จะอยู่ที่ 8,600 ล้านบาท อย่างไรก็ดี BDMS ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้จากฐานลูกค้าในตลาดบนและตลาดกลาง ซึ่ง BDMS มีเป้าหมายที่จะขยายโรงพยาบาลให้ครบ 50 แห่งในปี 62 หลังจากนั้นจะได้เห็นมาร์จิ้นของ BDMS ฟื้นตัวขึ้น โดยคาดว่ากำไรในปี 62 จะเติบโตได้ถึง 15-16% ขณะที่ในช่วงปี 60-62 กำไรของ BDMS อาจจะเติบโตราว 13% ซึ่ง BDMS เป็นโรงพยาบาลระดับ premium ที่น่าลงทุน และมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดย Dividend yield ประมาณ 1-2% นอกจากนี้ BDMS เป็นโรงพยาบาลที่มีการปรับราคาค่ารักษาพยาบาลได้ ทำให้สามารถรักษาการเติบโตของรายได้ในระดับ 9-10% ขณะที่เมื่อเทียบกับบมจ.โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ (BH) จะมีการเติบโตรายได้จากการรักษา 5-6% เท่านั้น ด้านนายวรุตม์ ศิวะศริยานนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเชีย เวลท์ ให้เหตุผลที่แนะนำ"ซื้อ"หุ้น BDMS ด้วยราคาเป้าหมาย 32 บาท/หุ้น เนื่องจาก BDMS มีระบบการจัดการที่ดี และมีการเติบโตของกำไรอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในระยะสั้นการเติบโตอาจจะชะลอตัวไปบ้าง แตื่เชื่อว่าระยะยาวการเติบโตจะดีขึ้นไปอีก โดยกำไรปีนี้คาดว่า BDMS จะมีกำไรสุทธิ 9,520 ล้านบาท เติบโตเพียง 6.5% จากปี 59 ที่คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 8,937 ล้านบาท เติบโต 13% จากปี 58 เนื่องจากปีนี้ BDMS จะต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการลงทุนขยายธุรกิจ แต่กำไรจะกลับมาดีหลังปี 2561 เป็นต้นไป พร้อมมองว่า BDMS เหมาะที่จะลงทุนระยะยาว เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี และยังมีความสามารถทางการแพทย์ที่ดีด้วย เพียงแต่ปีนี้เป็นปีแห่งการลงทุนที่ต้องมีต้นทุนเข้ามามาก ส่วนบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า คงคำแนะนำ "ซื้อ"หุ้น BDMS ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันปรับตัวลงมาค่อนข้างแรงจากความกังวลต่อผลกระทบการยกเลิกโครงการ Privilege Card แต่ทว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานโดยรวมของBDMS ยังเติบโตต่อเนื่องตามจำนวนผู้เข้าใช้บริการและรายได้เฉลี่ยต่อหัวที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 59 และ 60 ไว้ที่ 8,423 ล้านบาท และ 9,365 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% และ 11.2% ตามลำดับ ตามสมมติฐานรายได้จากกิจการโรงพยาบาลที่ 65,401 ล้านบาท และ 71,741 ล้านบาท สูงขึ้น 8.5% และ 9.7% ตามลำดับ สำหรับกรณีที่ BDMS ยกเลิกโครงการ Privilege Card "ล้านบาท...รักษาทุกโรค" เนื่องจากเข้าข่ายธุรกิจประกันสุขภาพซึ่งทางโรงพยาบาลไม่มีใบอนุญาตที่จะสามารถประกอบธุรกิจดังกล่าวได้ ทำให้ตัดสินใจยกเลิกโครงการดังกล่าวและจะทำการจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกค้านั้น ทางฝ่ายวิจัยมองลบเล็กน้อยต่อเหตุการณ์ดังกล่าว จากค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างดำเนินโครงการ ซึ่งคาดเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงต่อเนื่องในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา โดย BDMS น่าจะมีค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มอีกราว 600 ล้านบาท จากการชดเชยในโครงการดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตามเชื่อจะไม่กระทบต่อปัจจัยพื้นฐานของราคาหุ้น ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลกับ BDMS เพิ่มเติม คาดว่าจะมีการบันทึกรายการที่เกิดขึ้นผ่านงบดุลส่วนเงินสดและกำไรสะสมในงวดปี 59 เป็นจำนวนเงินเท่ากับค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งไม่กระทบต่องบกำไรขาดทุน สำหรับบล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) คงคำแนะนำ "ซื้อ" หุ้น BDMS ยังคงมีมุมมองที่ดีกับ BDMS ในเรื่องโครงข่ายทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุด และการลงทุนขนาดใหญ่ในศูนย์สุขภาพจะส่งผลดีในระยะยาว แม้ระยะสั้นจะส่งผลกระทบในการดำเนินงานบ้าง โดยราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงก่อนหน้านี้ เหมาะกับการทยอยซื้อสะสมเพื่อการลงทุน ส่วนกรณีที่ BDMS ยกเลิกโครงการ Privilege Card โดยจะจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกค้านั้น เชื่อว่าจะไม่มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน แต่จะบันทึกเป็นส่วนหักกำไรสะสมในงบดุล