บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ตั้งงบลงทุนในปีนี้ 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการขยายและปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันที่ปัจจุบันมีกว่า 1,400 สาขา และตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 1,800 สาขาทั่วประเทศภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการลงทุนธุรกิจใหม่ด้วย นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ของ PTG เปิดเผยถึง ทิศทางธุรกิจในปี 60 บริษัทตั้งเป้ารายได้ปีนี้จะเติบโตแตะ 1 แสนล้านบาท บนสมมติฐานราคาน้ำมันดีเซล 25 บาท/ลิตร และน้ำมันดิบดูไบอยู่ในระดับ 50-60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และตั้งเป้าปริมาณการขายน้ำมันเพิ่มขึ้นราว 40% จากปี 59 ที่มีปริมาณการขายรวมอยู่ที่ 2.9 พันล้านลิตร ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดขยับขึ้นเป็นอันดับที่ 4
ขณะที่ปีนี้วางงบลงทุนราว 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนในการขยายและปรับปรุงธุรกิจหลักจำนวน 3,500 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสถานีบริการน้ำมันจำนวนกว่า 1,400 สาขา และสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1,800 สาขาทั่วประเทศ เป็นอันดับหนึ่งด้านจำนวนสถานีบริการของประเทศ อีกทั้งยังมุ่งเพิ่มจำนวนผู้ถือบัตร PT Max Card เป็น 7.4 ล้านสมาชิก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีจำนวน 5.6 ล้านสมาชิก
ส่วนเงินลงทุนอีก 500 ล้านบาทจะใช้ลงทุนในธุรกิจนอนออยล์ ขณะที่อีก 1,000 ล้านบาทจะใช้ลงทุนในธุรกิจใหม่ ซึ่งบริษัทมีความสนใจที่จะขยายธุรกิจไปยังเปิดศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ (ออโตแคร์ เซอร์วิส) โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 2/60 รวมถึงยังให้ความสนใจลงทุนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน เช่น ขยะและไบโอแก๊ส โดยยังรอความชัดเจนเรื่องการรับซื้อไฟฟ้าจากขยะของภาครัฐที่จะออกมาในช่วงเดือนมี.ค.-เม.ย.นี้
ทั้งนี้ ในปีนี้บริษัทจะดำเนินธุรกิจที่สร้างความแข็งแกร่งในอนาคต กับธีมที่มีชื่อว่า “Age of Innovation" หรือการปรับใช้นวัตกรรมเพื่อนำแบรนด์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจพลังงานครบวงจร ซึ่งมีองค์ประกอบ 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนแรกคือ การใช้เทคโนโลยี SYN4MAX ในการช่วยผลิตน้ำมันเครื่องคุณภาพสูง พีที แมกซ์นิตรอน ส่วนที่สองคือ การเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “พีที โมบาย แอพพลิเคชั่น" เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ลูกค้า และท้ายสุดคือการใช้องค์ความรู้จากพาร์ทเนอร์อย่าง “ซัปโปโร" จากประเทศญี่ปุ่นเพื่อนำเอานวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีมาผลิตพลังงานทดแทนอย่างเอทานอล
นอกจากนี้ปีนี้บริษัทจะมุ่งเน้นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงก็คือ กลุ่มธุรกิจนอนออยล์ โดยตั้งเป้าว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็นราว 2,700 ล้านบาท เติบโต 155% จากราว 1,000 ล้านบาทในปัจจุบัน โดยร้านกาแฟ"พันธุ์ไทย"จะมีสาขาครบ 100 สาขา ในกลางปีนี้ และจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 200 สาขาทั่วประเทศ ภายในสิ้นปี 60 ซึ่งจะไม่ได้จำกัดพื้นที่แค่เพียงในสถานีบริการน้ำมันเท่านั้น แต่จะขยายไปตามห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า มหาวิทยาลัย และสนามบิน เพื่อทำให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น ตลอดจนเพิ่มจำนวนร้านแม็กซ์ มาร์ท (Max Mart) เป็น 140 สาขาอีกด้วย
“ปัจจุบันเรามีสัดส่วนรายได้มาจากออยล์ราว 98% และที่เหลือเป็นนอนออยล์ ขณะที่กำไรสุทธิจากธุรกิจออยล์ ก็อยู่ที่ 98% และนอนออยล์ 2% โดยในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือปี 71 มองว่าธุรกิจออยล์ จะมีกำไรสุทธิลดลงเหลือ 40% และธุรกิจนอนออยล์ จะเพิ่มขึ้นเป็น 60% จากการกระจายรายได้ไปยังส่วนอื่น ๆ มากขึ้น เพื่อเป็นการให้บริการในธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร แต่อย่างไรก็ตามในปี 65 เราจะมีสถานีบริการน้ำมันเพิ่มเป็น 4,000 สาขา จากปีนี้คาดเพิ่มเป็น 1,800 สาขา และจะขยับขึ้นเป็นอันดับ 1 ของสถานีบริการน้ำมันที่เยอะที่สุด"นายพิทักษ์ กล่าว
นายพิทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้นอกจากโครงการอุตสาหกรรมปาล์ม คอมเพล็กซ์ (Palm Complex) ที่ล่าสุดจะสามารถเริ่มกระบวนการผลิตไบโอดีเซลได้เต็มรูปแบบในช่วงไตรมาสที่ 3/60 ธุรกิจที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะเข้ามาเสริมก็คือเอทานอล ล่าสุดได้ประกาศจับมือกับบริษัท เอี่ยมบูรพา จำกัด ก่อสร้างโรงงานผลิตเอทานอลจากกากมันสำปะหลัง ซึ่งมีกำลังผลิต 2 แสนลิตร/วัน มูลค่าการลงทุน 1,500 ล้านบาท ผ่านบริษัทร่วมทุน "อินโนเทค กรีน เอ็นเนอยี" ซึ่งบริษัทถือหุ้น 60% โดยใช้เทคโนโลยีของ "ซัปโปโร โฮลดิ้ง" จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อใช้เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ช่วยลดต้นทุน เสริมศักยภาพการทำกำไรในระยะยาว
สำหรับการลงทุนใน บมจ.อาม่า มารีน (AMA) ผู้เชี่ยวชาญในการให้บริการขนส่งสินค้าเหลวทางทะเลและทางบก ซึ่งเข้ามาช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการบริหารจัดการระบบขนส่งให้ได้ประโยชน์สูงสุด และยังสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่บริษัททั้งในปัจจุบัน และอนาคต ส่วนธุรกิจด้านโลจิสติกส์ที่ได้ร่วมทุนกับบริษัท ขนส่งน้ำมันทางท่อ จำกัด (FPT) ผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันอากาศยาน และน้ำมันภาคพื้นดินผ่านระบบท่อ โดยถือเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้างระบบท่อที่ต่อขึ้นไปทางภาคเหนือ ซึ่งก็จะเข้ามาช่วยสนับสนุนระบบขนส่งของบริษัทให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น คาดว่าโครงการจะเสร็จภายในปี 62