นายบุญชัย สุวรรณวุฒิวัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ผลธัญญะ (PHOL) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 62 จะขึ้นไปแตะระดับ 2,000 ล้านบาท หรือ เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 25% ต่อปี ในระยะเวลา 3 ปี (ปี 60-62) ซึ่งจะเป็นการเติบโตทั้งธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าและบริการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน สินค้าและบริการด้านการควบคุมสภาพแวดล้อม โดยภาพรวมแนวโน้มการเติบโตที่เพิ่มขึ้นหลังเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมีทิศการปรับตัวที่ดีขึ้นจากนโยบายเร่งการเบิกจ่ายงบและการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐ รวมถึงภาคส่งออกที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ส่งผลต่อภาคการผลิตในกลุ่มลูกค้าแต่ละอุตสาหกรรมที่จะเพิ่มคำสั่งซื้อสินค้าด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมของบริษัทเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ การจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อการควบคุมสภาพแวดล้อม ถึงแม้ว่าภาพรวมของตลาดมีแนวโน้มชะลอตัว และการแข่งขันค่อนข้างเข้มข้น แต่อย่างไรก็ตามพฤติกรรมของลูกค้าในกลุ่มนี้จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงสินค้า เนื่องจากอาจเกิดผลกระทบต่อการผลิต บริษัทจึงมุ่งเน้นการบริหารต้นทุนสินค้า ความรวดเร็วในการบริการ รวมทั้งการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าตระหนักถึงความสำคัญและยากต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า
นอกจากนี้ บริษัทพร้อมเดินหน้าเข้าประมูลในโครงการประปาชุมชนของภาครัฐ คาดว่าจะมีโครงการออกมาเฉลี่ยต่อปีประมาณ 3,000-4,000 โครงการ บริษัทคาดหวังได้รับงานกว่า 100 โครงการต่อปี มูลค่าเฉลี่ยต่อโครงการราว 3-4 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้รับงานแล้วกว่า 30 โครงการ ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างรอภาครัฐเปิดประมูล ซึ่งบริษัทพร้อมเข้าร่วมทันที ทั้งจากความพร้อมของบุคลากร และเงินทุนที่มีเพียงพอสำหรับเงินหมุนเวียนเพื่อใช้รับงานก่อสร้างจากภาครัฐ
สำหรับแผนการดำเนินงานในระยะ 3 ปีนับจากนี้ บริษัทจะมุ่งเน้นดำเนินงานให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ คือเป็นบริษัทชั้นนำที่มีความยั่งยืนในธุรกิจนวัตกรรมด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัย สิ่งแวดล้อม และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในประเทศไทยและประเทศเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 62 เริ่มตั้งแต่การพัฒนาบุคลากร ส่งเสริมความเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งในธุรกิจด้านความปลอดภัย สุขภาพอนามัย และธุรกิจน้ำ ให้กับพนักงาน ซึ่งเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญผลักดันให้บริษัทเติบโตได้
ตลอดจนการพัฒนาระบบ IT มาใช้ในกระบวนการทำงานให้มากขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการให้บริการแก่ลูกค้า ทั้งนี้บริษัทยังมุ่งเน้นกลยุทธ์ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) เน้นความต้องการของลูกค้าเป็นสำคัญ ทั้งในกลุ่มฐานลูกค้าเก่า ตลาดลูกค้าใหม่ในกลุ่ม Super Cluster ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และตลาดในกลุ่มประเทศประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยจะพัฒนาแนวทางการให้บริการที่ดีขึ้น เช่น การดูแลด้านสต็อกสินค้าของลูกค้า การส่งมอบตรงเวลา การส่งเสริมการใช้ช่องทาง Online รวมถึงหาแนวทางลดต้นทุนให้ลูกค้า บริการเสริมด้านการฝึกอบรม ให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้า นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย
“แผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 3 ปี คือตั้งแต่ปี 60-62 บริษัทตั้งเป้ารายได้ เติบโตเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 25% ซึ่งเป็นแผนที่ท้าทายทีมบริหารและพนักงานบริษัทเป็นอย่างยิ่ง แต่บริษัทมองเห็นโอกาสต่างๆ ที่สามารถสร้างความเติบโตให้กับบริษัทได้ อย่างเช่น นโยบายการลงทุนและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากภาครัฐ แนวโน้มเศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีทิศทางดีขึ้น บริษัทจึงมุ่งเน้นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐ และการสร้างความแข่งแกร่งจากภายในตั้งแต่การพัฒนาบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจของบริษัท เพื่อรองรับการขยายตัวของบริษัทในอนาคต การนำระบบ IT มาพัฒนากระบวนการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพด้านการให้บริการลูกค้า สอดคล้องกับทิศทางการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศด้วย"นายบุญชัย กล่าว
นายบุญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่ ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจในปัจจุบัน เพื่อที่จะเป็นส่วนช่วยผลักดันการเติบโตของผลประกอบการ โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินต่อทุน (D/E) ราว 1.5-1.7 เท่า ซึ่งยังสามารถกู้สถาบันการเงินได้อีก นอกจากนี้บริษัทยังไม่มีแนวคิดที่จะเพิ่มทุนอีก แต่จะมองหาเครื่องมือทางการเงินชนิดอื่น ๆ ในการลงทุนใหม่ ๆ แทน