นายสมิทธ์ พนมยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.ไทยพาณิชย์ มองการลงทุนตลาดหุ้นไทยว่า ในปี 60 ภาพรวมดัชนีหลักทรัพย์ยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ หลังจากที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอีกครั้ง โดยเกิดจากแนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
บริษัทคาดว่าผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 60 ยังเติบโตได้ที่ระดับ 10% โดยปัจจัยหลักเกิดจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นที่จะส่งผลบวกต่อหุ้นพลังงาน ประกอบกับการบริโภคของภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายหลังจากที่การบริโภคของประชาชนลดลงในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 59 นอกจากนี้ยังมองว่าในช่วงครึ่งปีหลังที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเริ่มมีการก่อสร้างเพิ่มขึ้นและจะทำให้การลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นตามมาซึ่งเป็นผลดีต่อระบบเศรษฐกิจ
บลจ.ไทยพาณิชย์ เตรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนหุ้นที่ลงทุนในตลาดหุ้นไทย สำหรับผลการดำเนินงานระหว่างวันที่ 1 ส.ค.59– 31 ม.ค.60 โดยจะจ่ายให้กับผู้ถือหน่วยพร้อมกันในวันที่ 20 ก.พ. 60 จำนวน 2 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ ซีเล็คท์ อิควิตี้ ฟันด์ (SCBSE) ในอัตรา 0.2500 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นครั้งที่ 12 รวมจ่ายปันผล 6.1100 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย.54)
สำหรับกองทุน SCBSE ถือเป็นกองทุนที่โดดเด่น โดยในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา สามารถสร้างผลการดำเนินงานงานอยู่ในระดับที่น่าพอใจสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.พ.60) ทั้งนี้กองทุน SCBSE มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 25.87% สูงกว่าดัชนี SET INDEXซึ่งอยู่ที่ 22.54% เป็นกองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนด้วยวิธี Active Approach โดยการคัดเลือกลงทุนในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุดและสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในขณะนั้น โดยจะใส่น้ำหนักการลงทุนมากน้อยตามความน่าสนใจของหุ้นนั้น และกองทุนจะลงทุนในหุ้นไม่เกิน 30 ตัว จึงเหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับสูงได้
นายสมิทธ์ กล่าวว่า ส่วนอีก 1 กองทุน คือ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ SET ENERGY SECTOR INDEX (SCBENERGY) มีนโยบายการลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหุ้นไทยมากที่สุด จ่ายปันผลในอัตราหน่วยละ 0.8500 บาท ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 รวมจ่ายปันผล 1.7200 บาทต่อหน่วย (นับจากจัดตั้งเมื่อ 28 มิ.ย.54)
ทั้งนี้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (ข้อมูล ณ วันที่ 3 ก.พ.60) กองทุน SCBENERGY มีผลการดำเนินงานอยู่ที่ 49.06% สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับดัชนีราคาหลักทรัพย์ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งอยู่ที่ 45.05%