รวมถึงผลการดำเนินงานบริษัทย่อย คือ บริษัท เอส เอ็น ซี ครีเอติวิตี้ แอนโทโลจี (SCAN) , บริษัท เอส เอส เอ็ม ออโต้เมชั่น จำกัด (SSMA) ,บริษัท เมอิโซะ เอสเอ็นซี พรีซิชั่น (MSPC) , บริษัท เอส เอ็น ซี ฟุกุอิ โฮลี อินซูเลชั่น (SFHI) ได้มีการปรับโครงสร้างภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปีนี้จึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนจากบริษัทย่อยอีก
"ด้วยการปรับโครงสร้างของบริษัทย่อย ทำให้ผลกระทบจากบริษัทย่อยไม่มีอีก และการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป จะช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้กว่า 10 ล้านบาทต่อปี ในขณะเดียวกันธุรกิจของเราทั้งด้านชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าผลประกอบการทั้งในแง่รายได้และกำไรจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปี 59"นายสามิตต์ กล่าว
นายสามิตต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 300-400 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ทั้งในและต่างประเทศ
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ โดยเป็นการร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง กำลังการผลิตราว 3 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขอรอความชัดเจนจากภาครัฐในเรื่องของสัญญาซื้อขาย (PPA) โดยเบื้องต้นวางงบลงทุนไว้ 240 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าโครงการจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ในระดับ 20% และคาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถคืนทุนได้ทั้งหมด