นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล. เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (15 ก.พ.) ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากปัจจัยบวกของเศรษกิจไทยและต่างประเทศที่ดี โดยจากการที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุเศรษฐกิจสหรัฐ ขยายตัวดีและมีแนวโน้มที่เฟด จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่ตลาดคาด หรือกลับเข้าสู่กรอบเวลาเดิม โดยก่อนหน้านี้ มีการคาดว่าเฟด จะไปขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือมพ.ค. แต่ถ้าตีความตามนี้ อาจปรับขึ้นในการประชุม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) วันที่ 14-15 มี.ค.นี้เลย ความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุม FOMC ในการประชุมครั้งถัดไป ปรับขึ้นจาก 30% เป็น 34%
ทั้งนี้ จากการแถลงดังกล่าว มีทั้งบวกและลบต่อตลาดหุ้นไทย ส่วนที่เป็นบวกคือการย้ำว่าเศรษฐกิจสหรัฐนั้นยังดีอยู่ (ดีกับกลุ่มส่งออก) แต่ฝั่งที่อาจถูกมองว่าลบ คือ ดอกเบี้ยจะปรับขึ้นและกังวลเรื่อง Fund Flow จะมีตามมา
โดยการขายหุ้นใหญ่โดยเฉพาะกลุ่ม PTT บางตัว อาจมาจากปัจจัยเฉพาะตัว ซึ่งไปทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นวานนี้เสียไปด้วย ขณะที่ราคาน้ำมันนั้นยังคงแกว่งในกรอบ 51-53 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทำให้หุ้นกลุ่มน้ำมันและปิโตรเคมี อาจไม่ได้มีการปรับตัวขึ้นได้มากนัก
นายมงคล กล่าวว่า ภาพของตลาดหุ้นไทย ดูจากปริมาณเงินที่เข้ามาในตลาดเอเชียส่วนใหญ่จะคล้าย ๆ กัน คือ มีเงินไหลเข้าตลาดพันธบัตรและชะลอในตลาดหุ้น ซึ่งน่าจะมาจากนักลงทุนกำลังรอดูตัวแปรสำคัญ ๆ อาทิ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ การเมืองของยุโรป ส่วนทิศทางดอกเบี้ยสหรัฐ มีความชัดเจนมากขึ้นในคืนที่ผ่านมา จึงประเมินว่า ด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและของต่างประเทศ ที่ยังดีต่อเนื่อง มีแนวโน้มที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในตลาด ดัชนีฯ น่าจะปรับตัวสูงขึ้นจากวันก่อน การนำส่งงบการเงินของบริษัทต่าง ๆ ที่เริ่มมากขึ้นตั้งแต่วันก่อน จะมีผลต่อราคาหุ้นตัวนั้น ๆ ด้วย เนื่องจากหุ้นส่วนใหญ่ มีการทำ preview น้อยลงในไตรมาสนี้
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนมองว่าดัชนีฯน่าจะมีการรีบาวด์ แต่การลงทุนยังคงต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะตัวแปรสำคัญที่สุด คือ นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ยังไม่สะท้อนมาในตลาดทั้งหมด ทิศทางตลาด จึงคาดว่าจะยัง Sideway ในกรอบ 1,566-1,600 จุด ไปอีกระยะหนึ่ง ทั้งนี้ ยังให้ความสนใจกับหุ้นที่เป็น Domestic Play อาทิ กลุ่มธนาคาร ที่อยู่อาศัย หรือหุ้นที่ผลประกอบการออกมาดี ในการเก็งกำไรช่วงสั้น หุ้นที่คาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิเช่น TISCO , PLAT , GOLD , VIH