นายทรวิทย์ ฐิติปุญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ซินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ (ASAP) เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 210 ล้านหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในไตรมาส 1/60 ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งแบบไฟลิ่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมี บล.ทิสโก้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
"บริษัทฯคาดว่าจะสามารถเปิดจองซื้อหุ้น IPO ได้ในช่วงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมี.ค.60 และน่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ในวันที่ 30 มี.ค.60 โดยจะเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบัน (โรดโชว์) ในช่วงต้นเดือน มี.ค.นี้"นายทรวิทย์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทมีโครงการลงทุนจัดตั้งศูนย์รวมการให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์ภายใต้ชื่อ "sap Auto Park" ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด โดยจะใช้พื้นที่บางส่วนของ sap Auto Park เป็นศูนย์บริการรถยนต์ให้เช่าระยะยาวแบบครบวงจรภายใต้ชื่อ sap และศูนย์บริการรถยนต์ให้เช่ารายวันภายใต้ชื่อ ASAP
นายทรวิทย์ เปิดเผยว่า การขยายธุรกิจในครั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของตลชาดธุรกิจรถยนต์ให้เช่าทั้งแบบระยะยาวและระยะสั้น ที่คาดว่าจะมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้น จากการเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนหลังจากเปิด AEC ส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทฯจะนำเงินที่ได้ส่วนหนึ่งไปใช้พัฒนาโครงการศูนย์รวมการให้บริการเกี่ยวกับรถยนต์แบบครบวงจร ASAP Auto Park บนถนนบางนา-ตราด ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ บนพื้นที่ 4 ไร่ 60 ตารางวา แบ่งเป็นพื้นที่สำหรับบริการรถยนต์ให้เช่าระยะสั้น พื้นที่จอดรถเสริมสำหรับรถยนต์ให้เช่าระยะสั้นของสนามบินสุวรรณภูมิ และพื้นที่สำหรับจำหน่ายรถยนต์ใช้งานแล้วที่ครบกำหนดสัญญาเช่า หรือปลดระวาง อีกทั้งยังมีพื้นที่ให้เช่าสำหรับบริการเสริมอื่นๆ เช่น ศูนย์ซ่อมบำรุงรักษารถยนต์ ร้านค้าจำหน่ายอุปกรณ์รถยนต์ ธนาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่มที่มีชื่อเสียง เป็นต้น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 150-160 ล้านบาท และน่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ และเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 61 อย่างไรก็ตามในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า บริษัทฯก็มองโอกาสขยายไปยังหัวเมืองใหญ่อีกด้วย
ส่วนที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจ ที่จะเพิ่มจำนวนรถยนต์ให้เช่าทั้งแบบระยะยาวและระยะสั้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสอดคล้องกับการขยายตัวของตลาดที่มีแนวโน้มการให้บริการรถเช่าทั้งระยะยาวและระยะสั้นที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
"เรามีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจให้บริการรถยนต์ให้เช่าอย่างครบวงจร ทั้งระบบระยะยาว ระยะสั้น และรถยนต์ให้เช่าพร้อมคนขับ ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกกลุ่ม ทำให้เรามีศักยภาพขยายธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งรองรับโอกาสเติบโตทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ในด้านการให้บริการรถเช่าที่ครอบคลุมทุกๆด้าน" นายทรวิทย์ กล่าว
ปัจจุบัน ASAP มีทุนจดทะเบียนจำนวน 330 ล้านบาท โดยเป็นทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้วจำนวน 225 ล้านบาท หรือคิดเป็น 450 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท และจะเสนอขายหุ้น IPO อีกจำนวน 210 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบธุรกิจรถยนต์ให้เช่าภายใต้แบรนด์ asap ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร โดยมีบริการรถยนต์ให้เช่า 3 รูปแบบ ได้แก่ บริการรถยนต์ให้เช่าระยะยาว (Operating Lease) ,บริการรถยนต์ให้เช่าระยะสั้น และบริการรถยนต์ให้เช่าพร้อมคนขับ (Limousine)
ขณะเดียวกันบริษัทฯดำเนินธุรกิจมากกว่า 11 ปี โดยเริ่มต้นจากการให้บริการรถยนต์ให้เช่าระยะยาวแบบครบวงจรที่มุ่งเน้นการให้บริการแก่ลูกค้านิติบุคคล ครอบคลุมตั้งแต่การจัดหารถยนต์ การออกแบบและปรับปรุงแต่งรถยนต์ตามความต้องการลูกค้า การซ่องบำรุงรักษารถยนต์ การให้บริการรถทดแทน และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำสัญญาเช่าระยะยาว 4-5 ปี โดย ณ วันที่ 30 ก.ย.59 บริษัทฯมีรถยนต์ให้เช่าระยะยาวจำนวน 6,106 คัน จากจำนวนรถยนต์สำหรับให้บริการทั้งหมดประมาณ 7,360 คัน
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 9 เดือนของปี 59 บริษัทฯมีรายได้รวมทั้งสิ้น 1,035.61 ล้านบาท มาจากการให้เช่ารถยนต์ 786.24 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนรายได้ราว 75.92% ที่เหลือจะมาจากการนำรถยนต์ที่หมดสัญญาเช่ามาจำหน่ายเป็นรถมือสองและรายได้อื่นๆ อย่างไรก็ตามสัดส่วนรายได้ของบริษัทฯ มาจากธุรกิจให้บริการรถยนต์ให้เช่าระยะยาว 96.85% ,รถยนต์ให้เช่าพร้อมคนขับ 1.70% และรถยนต์ให้เช่าระยะสั้น 1.45% ตามลำดับ ขณะที่ 3 ปีย้อนหลัง ในปี 56 บริษัทฯมีรายได้จากการขายและให้บริการ อยู่ที่ 652.07 ล้านบาท กำไรสุทธิ 68.66 ล้านบาท ปี 57 มีรายได้อยู่ที่ 826.63 ล้านบาท กำไรสุทธิ 34.58 ล้านบาท และปี 58 มีรายได้อยู่ที่ 1,068.90 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 56.04 ล้านบาท