นายรัมย์ เหราบัตย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรี (RATCH) เปิดเผยว่า บริษัทฯมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปี 60 ทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีก่อนที่มีรายได้รวม 51,279 ล้านบาทและมีกำไรสุทธิ 6,166 ล้านบาท เป็นผลมาจากโรงไฟฟ้าหงสาเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าเพิ่มเป็น 80% จากปีก่อนที่เดินเครื่องในอัตรา 63% ซึ่งโรงไฟฟ้าดังกล่าวมีสัดส่วนกำไรสูงถึง 30% ของกำไรสุทธิรวมของบริษัทฯ ส่วนปีนี้ยังไม่มีโรงไฟฟ้าที่จ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) เพิ่มขึ้นอีก ยกเว้นหากซื้อสามารถกิจการโรงไฟฟ้าเพิ่มเข้ามาได้สำเร็จ
ขณะที่บริษัทจัดสรรงบลงทุนไว้ราว 1 หมื่นล้านบาทเพื่อรองรับเป้าหมายการเติบโตของปีนี้ ซึ่งตั้งเป้าที่จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 7,500 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่า จากปัจจุบันที่ 6,442 เมกะวัตต์ (เฉพาะโครงการที่เดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว) โดยขณะนี้บริษัทมีโครงการเป้าหมายที่อยู่ระหว่างการเจรจาขั้นสุดท้ายและที่มีศักยภาพการลงทุนประมาณ 1,100 เมกะวัตต์ หรือเทียบเท่า และโครงการที่ลงทุนซึ่งกำลังพัฒนาและก่อสร้างอีก 538 เมกะวัตต์
"ในปีนี้ทิศทางการลงทุนจะกระจายไปในธุรกิจอื่นนอกจากธุรกิจไฟฟ้ามากขึ้น เพื่อเร่งการเติบโตและสร้างความมั่นคงของรายได้ ปัจจุบันบริษัทมีโครการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์แล้ว 6,442 เมกะวัตต์ หากรวมโครงการกำลังพัฒนาและก่อสร้างที่บริษัทลงทุนไปแล้วจะทำให้กำลังผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 6,980 เมกะวัตต์ เราจะต้องแสวงหาโครงการใหม่เพิ่มอีก 520 เมกะวัตต์ ซึ่งโครงการที่มีอยู่ในมือน่าจะเพียงพอสำหรับเป้าหมายหากดำเนินการได้สำเร็จ บริษัทเตรียมเงินทุนไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งจะใช้ในโครงการที่กำลังพัฒนาและก่อสร้าง ที่เหลือจะใช้สำหรับโครงการที่จะเกิดขึ้น เรามองว่าไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เมียนมา มีศักยภาพและโอกาสการลงทุนที่ดีมาก"นายรัมย์ กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีแผนการลงทุนในโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มให้เป็นสัดส่วน 10% ของกำลังการผลิตเป้าหมายที่ 7,500 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มอีก 92 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันอยู่ที่ 658 เมกะวัตต์ โดยโครงการใหม่ที่บริษัทฯอยู่ระหว่างเข้าไปศึกษาทั้งใน สปป.ลาว ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเมียนมา โดยมองว่าประเทศเหล่านี้มีศักยภาพและโอกาสการลงทุนอีกมาก ซึ่งในระยะยาวบริษัทตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนของพลังงานทดแทนให้เพิ่มขึ้นเป็น 20%
นายรัมย์ กล่าวว่า บริษัทมีทิศทางการดำเนินงานในปีนี้ยังคงเน้น 2 ด้านหลัก คือ การลงทุนและความสามารถในการทำกำไรของสินทรัพย์ เพื่อที่จะให้บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องและมั่นคง และรักษาอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ (Return on Asset) ให้อยู่ในระดับ 6%
สำหรับการบริหารสินทรัพย์ บริษัทฯจะมุ่งเน้นบริหารประสิทธิภาพ มุ่งเน้นการบริหารประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้า ทั้งระดับความเชื่อถือได้ (Reliability) และความพร้อมจ่าย (Availablity) ของโรงไฟฟ้า เพื่อที่จะเพิ่มความสามารถในการทำรายได้ให้แก่บริษัทฯ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าราชบุรีไฟฟ้าหงสา และโรงไฟฟ้าขนาดเล็กประเภทโคเจนเนอเรชั่น (SPP)
นายรัมย์ กล่าวว่า RATCH อยู่ระหว่างเจรจาการลงทุนผลิตไฟฟ้าก๊าซฯในอินโดนีเซีย และโรงไฟฟ้าถ่านหินในฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นโครงการที่ RATCH จะเข้าไปถือหุ้นโครงการละ 49% ขณะที่โครงการพลังงานทดแทนนั้นให้ความสนใจกับกิจการในออสเตรเลีย ไทย และ สปป.ลาว เป็นเป้าหมายหลัก
พร้อมกันนั้น บริษัทยังศึกษาการลงทุนธุรกิจอื่นๆ เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม โดยเน้นธุรกิจด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่น ประปา ถนน ฯลฯ ซึ่งจะเป็นการลงทุนร่วมกับพันธมิตร คาดว่าปีนี้จะมีความชัดเจนของโครงการใหม่อย่างน้อย 1 โครงการ อย่างไรก็ตามบริษัทฯจะรักษาอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ (Return on Asset) ให้อยู่ที่ 6% แต่บริษัทฯยืนยันว่าธุรกิจการผลิตพลังงานไฟฟ้าจะยังคงเป็นธุรกิจหลักของบริษัทฯ หรือมีสัดส่วนรายได้มากว่า 60%
ก่อนหน้านี้ บริษัทฯได้ร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ชิโน- ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ในนามกิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ ชนะประมูลรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) และสีเหลือง (ช่วงลาดพร้าว-สำโรง) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเจรจาเงื่อนไขกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาได้ใช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค.60 หลังจากนั้นจะดำเนินการออกแบบและคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงต้นปี 61 ใช้ระยะเวลา 3 ปี 3 เดือน
ขณะเดียวกันยังจะร่วมมือกับพันธมิตรกลุ่มเดิมเข้าประมูลรถไฟฟ้าสายต่างๆ เพิ่มเติม และบริษัทฯอยู่พิจารณาถือหุ้นเพิ่มในกิจการร่วมค้าบีเอสอาร์ หลัง BTS เปิดโอกาสให้ถือหุ้นมากกว่า 10% แต่ขอพิจารณาความเสี่ยงและผลตอบแทนการลงทุนให้รอบคอบก่อน โดยบริษัทฯต้องการผลตอบแทนสูงกว่า 10%