ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร BEC ที่ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable"

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 17, 2017 13:11 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.บีอีซี เวิลด์ (BEC) ที่ระดับ “A+" ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่"

อันดับเครดิตสะท้อนถึงสถานะที่แข็งแกร่งในการประกอบธุรกิจการกระจายเสียงและการแพร่ภาพออกอากาศ (Broadcasting) หรือธุรกิจโทรทัศน์/ทีวี และฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากการชะลอตัวของงบใช้จ่ายโฆษณา ตลอดจนการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจทีวี และปัจจัยเสี่ยงจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปในการบริโภคสื่อของผู้ชม

แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable" หรือ “คงที่" สะท้อนถึงความคาดหวังของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะสามารถดำรงสถานะผู้นำทางธุรกิจและฐานะการเงินที่แข็งแกร่งได้ต่อไป โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตของบริษัทมีจำกัดในระยะสั้นเมื่อพิจารณาจากภาวะอุตสาหกรรมที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ในขณะที่ปัจจัยกดดันต่อการปรับลดอันดับเครดิตของบริษัทอาจเกิดขึ้นได้หากผลประกอบการของบริษัทอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งจากภาวะซบเซาอย่างต่อเนื่องของงบโฆษณาหรือจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจ

BEC ก่อตั้งในปี 2512 และเริ่มดำเนินการออกอากาศสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ในเดือนมีนาคม 2513 ภายใต้สัญญาที่ทำกับ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ซึ่งสัญญาดังกล่าวจะสิ้นสุดในเดือนมีนาคม 2563 บริษัทยังดำเนินการออกอากาศทีวีดิจิตอลอีก 3 ช่อง ได้แก่ ช่อง 33 ช่อง 28 และ ช่อง 13 ภายใต้ใบอนุญาต 15 ปีซึ่งจะสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2572 ปัจจุบันบริษัทดำเนินการออกอากาศช่อง 3 และช่อง 33 แบบคู่ขนาน นอกจากนี้ บริษัทยังดำเนินธุรกิจวิทยุและธุรกิจบันเทิงอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในเดือนกรกฎาคม 2539 โดยปัจจุบันมีกลุ่มมาลีนนท์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในสัดส่วนรวม 47.03%

สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทมีปัจจัยสนับสนุนจากสถานภาพที่มั่นคงจากการที่บริษัทเป็นผู้นำในธุรกิจทีวีที่มีฐานผู้ชมเป็นจำนวนมาก แม้การเกิดขึ้นของระบบทีวีดิจิตอลในเดือนเมษายน 2557 จะทำให้เกิดความเท่าเทียมกันในกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจทีวี แต่บริษัทก็ยังมีความได้เปรียบเหนือผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งในเรื่องของประสบการณ์ในธุรกิจ แบรนด์ของบริษัท ฐานผู้ชม และความแข็งแกร่งทางการเงิน

ความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทขึ้นอยู่กับงบโฆษณาเป็นอย่างมาก เนื่องจากงบโฆษณาถือเป็นรายได้หลักของบริษัท โดยทั่วไปงบโฆษณาสำหรับทุกสื่อจะแปรผันไปตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวและหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องได้ส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคและงบใช้จ่ายโฆษณาของสินค้าและผลิตภัณฑ์ ภาวะดังกล่าวส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัท ในระยะกลางคาดว่าการแข่งขันในธุรกิจจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการต้องดึงดูดและสร้างฐานผู้ชมเพื่อที่จะให้ได้เม็ดเงินจากการโฆษณา นอกจากนี้ พฤติกรรมของผู้บริโภคในการรับสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น ความนิยมในการดูทีวีแบบ Video-on-Demand ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อบริษัทและผู้ประกอบการรายอื่นในระยะต่อไปด้วยเช่นกัน

ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัทเป็นผลมาจากความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดและการมีโครงสร้างเงินทุนที่แข็งแกร่ง ผลการดำเนินงานของบริษัทอ่อนตัวลงในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจากรายได้ที่ลดลงและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจทีวีดิจิตอล ในปี 2558 รายได้รวมของบริษัทลดลง 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม รายได้โฆษณาลดลงในสัดส่วนที่มากกว่า โดยรายได้โฆษณาของบริษัทลดลง 5.9% ในปี 2558 มาอยู่ที่ 14,197 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจและงบโฆษณาที่อ่อนตัวลง ภาวะดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 บริษัทรายงานรายได้รวมลดลง 14.9% โดยรายได้โฆษณาของบริษัทลดลง 13.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนรายได้ทั้งปีของบริษัทในปี 2559 นั้นน่าจะอ่อนตัวลงมากกว่าช่วง 3 ไตรมาสแรกอันเนื่องมาจากผลกระทบในช่วงของการถวายความอาลัยต่อการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ทริสเรทติ้งคาดว่ารายได้ของบริษัทจะฟื้นตัวได้ในปี 2560 จากกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ ที่จะคืนสู่ภาวะปกติและภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายด้านโฆษณา อย่างไรก็ดี การแข่งขันที่รุนแรงจะเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตของรายได้ของบริษัท

เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงที่ รายได้ที่ลดลงจึงส่งผลโดยตรงต่ออัตรากำไรและกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ในการวิเคราะห์ของทริสเรทติ้ง ค่าตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์รายการทีวีจะคิดเป็นต้นทุนในการดำเนินงานของบริษัทตามลักษณะของธุรกิจ อัตรากำไรของบริษัทซึ่งคิดจากอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายลดลงจากอัตราที่เกินกว่า 40% ในช่วงก่อนปี 2557 มาอยู่ที่ 29.41% ในปี 2558 และ 21.59% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,664 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559

โครงสร้างเงินทุนและสภาพคล่องของบริษัทยังคงแข็งแรงแม้ว่ารายได้จะลดลง อัตราส่วนเงินกู้รวม (รวมภาระผูกพันของบริษัทที่จะต้องชำระค่าใบอนุญาตประกอบการทีวีดิจิตอล) ต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ที่ 39.07% ณ เดือนกันยายน 2559 อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมของบริษัทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2559 อยู่ที่ 58.62% (ปรับอัตราส่วนให้เป็นตัวเลขเต็มปีโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 12 เดือน) ในขณะที่อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายอยู่ที่ 18.13 เท่า คาดว่าอัตราส่วนสภาพคล่องของบริษัทสำหรับปี 2559 จะอ่อนตัวลงจากตัวเลข 9 เดือนจากผลกระทบในช่วงถวายความอาลัย แต่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2560 โดยคาดหมายว่าบริษัทจะดำรงอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมให้อยู่ในระดับสูงกว่า 50% ในปี 2560-2562

ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะดำรงสถานะสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่ดีได้ต่อไปในระยะ 12-18 เดือนข้างหน้าโดยพิจารณาจากแหล่งที่มาและแผนการใช้เงินทุนของบริษัท ภายใต้สมมติฐานของทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีเงินทุนจากการดำเนินงานอย่างน้อย 2,000 ล้านบาทต่อปีและมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสด ณ เดือนกันยายน 2559 อีกจำนวน 823 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีภาระต้องชำระค่าใบอนุญาตทีวีดิจิตอลรวม 546 ล้านบาทต่อปีในปี 2560-2561 และแผนลงทุนอีกประมาณ 240 ล้านบาทต่อปี โดยบริษัทมีแผนจะเปลี่ยนเงินกู้ระยะสั้นจำนวน 1,920 ล้านบาทเป็นเงินกู้ระยะยาว ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดหมายว่าบริษัทจะดำรงนโยบายจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงต่อไป


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ