โบรกเกอร์ต่างแนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น (STEC) จากงานในมือ(Backlog)สูงขึ้นมากแตะ 1 แสนล้านบาท จากสิ้นปีก่อนมีอยู่ 4.6 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัทสามารถรับรู้รายได้ยาว 3 ปี ผลักดันให้รายได้ปี 60-61 เติบโตได้ราว 18-38% และกำไรปี 60-61 จะเติบโตอย่างมาก โดยปี 60 คาดกำไรอยู่ที่ 1.2-1.5 พันล้านบาท หรือเติบโต 28.5-50% จากงานในมือมีมาร์จิ้นดีขึ้น
สาเหตุที่ backlog พุ่งขึ้นสูงหลักๆ มาจาก 3 งานใหญ่ ได้แก่ งานโยธาของรถไฟฟ้าสายสีชมพู และรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่ STEC เข้าร่วมทุนกับกลุ่ม BSR Joint Venture ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (BTS) , บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) และ STEC รวมทั้ง งานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ที่ STEC จับมือกับ บมจ.ช.การช่าง(CK) ในนาม CKST ได้งานไป 3 สัญญา
นอกจากนี้ STEC ก็มีโอกาสจะได้รับงานใหม่จากการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ของภาครัฐที่มีออกมาต่อเนื่องในปีนี้ ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง โครงการรถไฟทางคู่ โครงการพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ระยะที่ 2 เป็นต้น
ราคาหุ้น STEC เมื่อเวลา 14.58 น.อยู่ที่ 26.25 บาท ลบ 0.50 บาท สวนทางกับดัชนีตลาด บวก 2.29 จุด
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น ) ทิสโก้ ซื้อ 33.00 ซีไอเอ็มบี ซื้อ 32.50 บัวหลวง ซื้อ 32.25 เคจีไอ ซื้อ 32.25 เมย์แบงก์กิมเอ็ง Trading buy 30.00 ดีบีเอสฯ ซื้อ 30.00 ฟิลลิป ทยอยซื้อ 29.20
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทิสโก้ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น STEC ด้วยเหตุผลหลักจากที่ STEC มี backlog สูงถึง 1.2 แสนล้านบาท จาก ณ เดือน พ.ย.59 มี backlog 5.1 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก STEC ได้งานรถไฟฟ้า 3 โครงการ ได้แก่ งานโยธาของรถไฟฟ้าสายสีชมพูและรถไฟฟ้าสายสีเหลืองที่ STEC เข้าร่วมทุนกับกลุ่ม BSR Joint Venture และงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย-มีนบุรี ที่ STEC จับมือกับ CK ในนาม CKST ได้งานไป 3 สัญญา
ทั้งนี้ จะส่งผลให้ STEC รับรู้รายได้แน่นอนในช่วง 3 ปีข้างหน้า และกำไรก็ปรับตัวสูงขึ้น โดยประเมินว่ากำไรในปี 60 จะอยู่ที่ 1.45 พันล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีกำไรปกติ (ไม่รวมรายการพิเศษ) ถึง 60% และปี 61 คาดว่าจะมีกำไร 2 พันล้านบาท เติบโต 40% ขณะที่รายได้ในปีนี้คาดว่าอยู่ที่ 2.48 หมื่นล้านบาท เติบโต 36% จากปีก่อน และปี 61 จะมีรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 3.43 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 38%
นอกจากนี้ STEC ยังมีโอกาสชนะงานต่างๆ ของภาครัฐที่จะทยอยออกมาประมูล ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ที่กำลังรอคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการภายในไตรมาส 2/60 , รถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง มูลค่ารวม 9.7 หมื่นล้านบาท , สนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่ 2
ด้านนายสุรชัย ประมวลเจริญกิจ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย กล่าวว่า STEC ได้รับงานใหม่จำนวนมาก โดยเพิ่งชนะประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สัญญาที่ 1, 2, 5 ในชื่อกิจการร่วมค้า CKST โดยส่วนของ STEC คิดเป็น 40% และประเมินมูลค่างานที่ได้ประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท
และ กิจการร่วมค้า บีเอสอาร์ (STEC ร่วมด้วย) ชนะการประมูล รถไฟฟ้าสายสีชมพู และ สายสีเหลือง จะช่วยเพิ่มงานโยธาให้ STEC ประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท จากสองงานดังกล่าวทำให้ Backlog ของ STEC ในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 1.1 แสนล้านบาท จากสิ้นปี 59 ที่มีอยู่ประมาณ 4.6 หมื่นล้านบาท ส่งผลดีต่อผลประกอบการในช่วง 2-3 ปีนี้
ในปี 60 คาดการณ์ว่า STEC จะมีกำไรสุทธิ 1,417 ล้านบาท เพิ่มขึ้นราว 50% จากปีก่อนที่มีกำไรปกติ 785 ล้านบาท โดยปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,381 ล้านบาท รวมรายการพิเศษกำไรจากการตีราคาอสังหาริมทรัพย์ 596 ล้านบาท ส่วนปี 61 คาดว่ากำไรสุทธิยังเติบโตต่อเนื่องราว 13%
ส่วน บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) คาดว่า backlog ในมือของ STEC จะทำสถิติใหม่ทะลุ 1 แสนล้านบาทหลังจากเซ็นสัญญาโครงการใหม่ อาทิ โครงการ Motorway 4 โครงการ (5.8 พันล้านบาท),รถไฟฟ้าสายสีชมพู (1.68 หมื่นล้านบาท), รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (1.86 หมื่นล้านบาท) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (1.68 หมื่นล้านบาท) บวกกับโอกาส 20-25% ที่จะชนะประมูลงานเพิ่มอีก 9.70 หมื่นล้านบาท
รวมทั้ง จากความคืบหน้าของโครงการที่ทำอยู่ในปัจจุบันอย่างเช่น รถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต/คูคต) อาคารรัฐสภาแห่งใหม่ รถไฟทางคู่ ฉะเชิงเทรา ทำให้เราคาดว่ารายได้ของ STEC ในปีนี้น่าจะโตได้ถึง 18.1% YoY เป็น 2.12 หมื่นล้านบาท จาก 1.79 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกัน คาดว่า GPM จะเพิ่มขึ้น 40bps เป็น 9.3% จาก GPM ที่อยู่ในระดับสูงของโครงการที่มีเนื้อหางานวิศวกรรมที่ซับซ้อน และการควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะหนุนให้กำไรปกติในปี 60 เติบโตได้ถึง 28.5% เป็น 1.2 พันล้านบาท
จากแนวโน้มการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในปี 60 และแนวโน้มที่สดใสของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง เราจึงแนะนำ "ซื้อ" STEC โดยขยับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 60 ที่ 35.25 บาท (P/BV ที่ 4.8x) จากเดิม 30.50 บาท (P/BVที่ 4.8x)