โบรกเกอร์ แนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) จากแนวโน้มกำไรในปีนี้ที่จะเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แม้จะอยู่ในอัตราไม่มากนัก หลังได้รับผลกระทบจากการปิดซ่อมบำรุงโรงงานครั้งใหญ่ในช่วงเดือน ก.พ.-มี.ค.เป็นเวลา 30 วัน ซึ่งจะกดดันต่อกำไรในไตรมาส 1/60 อ่อนแอ รวมถึงกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงเล็กน้อย อาจจะทำให้สต็อกน้ำมันไม่ได้เพิ่มมากเหมือนในปีก่อน
แต่ราคาหุ้น IRPC ที่ซื้อขายอยู่ในปัจจุบันยังมี Upside จากราคาเป้าหมายของโบรกเกอร์อยู่พอสมควร และมี Upside risk จากโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (UHV) ทำได้ดีกว่าคาด หลังส่วนขยายการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) ที่จะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังของปีนี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์จากโครงการ UHV ก็จะช่วยหนุนผลประกอบการได้ ประกอบกับอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ค่อนข้างสูง ทำให้หุ้น IRPC ยังน่าสนใจในการลงทุน
ราคาหุ้น IRPC อยู่ที่ 5.15 บาท ไม่เปลี่ยนแปลงจากวันก่อน ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.10%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) บัวหลวง ซื้อ 6.00 ทรีนีตี้ ซื้อเก็งกำไร 5.42 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 6.00 เมย์แบงก์ กิมเอ็งฯ ซื้อ 5.70 โกลเบล็ก ซื้อ 5.85 เคทีบีฯ ซื้อ 6.00
นางสาวอาภาภรณ์ แสวงพรรค ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/59 และปี 59 ของ IRPC ที่ออกมาระดับ 1.7 พันล้านบาท และ 9.7 พันล้านบาทตามลำดับนั้น เป็นไปตามคาด โดยในส่วน GIM ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกในปีที่ผ่านมาอ่อนลงราว 7% แต่ถูกชดเชยด้วยกำไรจากสต็อกที่มีมากถึง 2.8 พันล้านบาท และกำไรของธุรกิจปิโตรเคมีที่ดีขึ้นด้วย ด้านโครงการ UHV สามารถลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานลงได้ 3.5% จากปีก่อนหน้านี้
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในปีนี้ คาดว่ากำไรของ IRPC จะอ่อนตัวลงราว 2% หลังในช่วงไตรมาสแรกปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นและโรงงาน ขณะที่คาดว่าปีนี้จะไม่มีกำไรจากสต็อกมากเหมือนในปีที่แล้ว โดยคาดว่า GIM ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันน่าจะดีกว่าปีที่แล้วเพียงเล็กน้อย ซึ่งเป็นไปตามอุปสงค์น้ำมันที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตได้
อย่างไรก็ตาม IRPC ยังมี Upside risk ที่โอกาสผลการดำเนินงานในปีนี้จะดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ หากโครงการ UHV สามารถทำมาร์จิ้นได้ดีกว่าที่คาด และช่วยลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้มากกว่าคาด ก็จะทำให้กำไรออกมาดีกว่าที่ประมาณการไว้ แต่เบื้องต้นที่ยังแนะนำ"ซื้อ"หุ้น IRPC เนื่องจากราคาหุ้น IRPC ยังมี Upside จากราคาเป้าหมายเกือบ 15% และยังมี Upside risk จากโครงการ UHV
นอกจากนี้ยังต้องจับตาทิศทางราคาน้ำมันด้วย โดยหากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็จะส่งผลต่อกำไรจากสต็อกให้มากขึ้น แต่ในทางกลับกันหาราคาน้ำมันอ่อนตัวลง ก็อาจจะส่งผลให้มีขาดทุนจากสต็อกได้ด้วยเช่นกัน
ด้านบทวิเคราะห์ บล.บัวหลวง ระบุว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ IRPC ในไตรมาส 1/60 จะชะลอตัวเนื่องจากมีการปิดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ในเดือน ก.พ. อีกทั้งอาจจะมีการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงด้วย ซึ่งจะกระทบอย่างมากต่อผลประกอบการ แม้แนวโน้มมาร์จิ้นของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไตรมาส 1/60 จะดีขึ้นก็ตาม
อย่างไรก็ตามยังคงประมาณการกำไรสุทธิของ IRPC ในปี 60 เติบโต 4% มาที่ระดับ 1.01 หมื่นล้านบาท และยังมี Upside จากโครงการส่วนขยาย PP ใหม่ที่จะแล้วเสร็จในช่วงครึ่งหลังปี 60 และการปรับเปลี่ยนการผลิตของโครงการ UHV
ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลของ IRPC ที่สูงสุดในกลุ่มโรงกลั่นปิโตรเคมีไทยจะสามารถหนุนราคาหุ้นได้ อีกทั้งมาร์จิ้นผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีที่ดีขึ้น โดยเฉพาะสายโพรพิลีน จะส่งผลให้กำไรของ IRPC เพิ่มขึ้นในอนาคต เมื่อโรงงานกลับมาดำเนินงานตามปกติตั้งแต่เดือนมี.ค.เป็นต้นไป ทำให้ยังคงแนะนำ"ซื้อ"หุ้น IRPC
ด้าน บล.โกลเบล็ก ระบุในบทวิเคราะห์ โดยคาดว่า IRPC จะมีกำไรในปีนี้ราว 1.02 หมื่นล้านบาท เติบโต 5% จากปีก่อน โดยคาดว่า GIM จะยังทรงตัวในระดับสูงที่ 13-14 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ซึ่งได้รับแรงหนุนจากค่าการกลั่นน้ำมันที่ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากเริ่มเดินเครื่องโครงการ UHV และธุรกิจโอเลฟินส์มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นตามราคาของผลิตภัณฑ์ PP และราคาของผลิตภัณฑ์ HDPE อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากโครงการ EVEREST ซึ่ง IRPC ตั้งเป้าเพิ่มกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย และภาษี (EBIT) ราว 7 พันล้านบาทในปีนี้
อย่างไรก็ดี ธุรกิจอะโรเมติกส์อาจอ่อนตัวตามส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีน (PX) ที่มีแนวโน้มปรับตัวลงเพราะมีอุปทานใหม่จากโรงงาน Reliance ของอินเดียเข้ามากดดันในไตรมาส 2/60 และโครงการ UHV จะมีการหยุดซ่อมบำรุงใหญ่ในไตรมาส 1/60 อีกทั้ง IRPC จะต้องกลับมาจ่ายภาษีในอัตราปกติ 20% ในปี 60 หลังใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากผลขาดทุนหมดในปี 59 เป็นปัจจัยกดดันต่อผลประกอบการ
นอกจากนี้ คาดว่ากำไรจากสต็อกจะไม่สูงเท่าในปี 59 จากที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบจะเคลื่อนไหวในกรอบ 48-54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลไม่ได้ปรับขึ้นมากเหมือนในปี 59 แม้ว่าประเทศกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกโอเปกเริ่มปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.5 ล้านบาร์เรล/วันก็ตาม แต่ยังคงมีอุปทานส่วนเกินอยู่ราว 7 แสนบาร์เรล/วันในช่วงครึ่งแรกปีนี้ ก่อนที่จะเข้าสู่จุดสมดุลในช่วงครึ่งหลังปีนี้