นายมงคล พ่วงเภตรา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ กลยุทธ์การลงทุน บล. เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST ประเมินตลาดหุ้นไทยในวันนี้ (22 ก.พ.) ยังมีแรงกดดันจากแรงขายในตลาดเอเชีย ภาพรวมจึงมีความผันผวนสลับข่าวบวกและลบ แม้จะมีแรงหนุนจากตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ก็ตาม โดยการกลับมาเปิดทำการหลังวันหยุดยาวของสหรัฐฯ ในคืนที่ผ่านมา ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวสูงขึ้น 118.95 จุด เป็นผลจากความเชื่อมั่นต่อนโยบายลดภาษีของสหรัฐฯที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯและการรายงานผลประกอบการบริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่ออกมาดี
อย่างไรก็ตาม ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยิ่งสูงขึ้นมากเท่าใดความเสี่ยงจะมากขึ้นตาม หากแผนการลดภาษีนั้นไม่ได้เป็นไปตามที่คาด อีกทั้งการตอบรับของตลาดหุ้นสหรัฐฯ วัดจากดัชนีดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้นมาถึง 13.6% หลังทราบผลเลือกตั้งสหรัฐฯ เป็นสัญญาณว่านักลงทุนตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก สิ่งที่มองอยู่ตอนนี้ คือ ตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่ไม่ใช่สหรัฐฯ จากนี้คงไม่ได้วิ่งขึ้นตามดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ เหมือนช่วงที่ผ่านมา
โดยตลาดประเมินว่าโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในเดือน มี.ค. สูงขึ้น ค่าความน่าจะเป็นของการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดของการประชุมเดือน มี.ค.ล่าสุด ปรับขึ้นจาก 34.0% เป็น 36.0% ในคืนที่ผ่านมา (ค่าที่บ่งชี้ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย ควรไม่น้อยกว่า 50%) ตัวเลขการซื้อขายของนักลงทุนต่างประเทศ ในตลาดหุ้นเอเชียสัปดาห์นี้ พลิกกลับมาเป็น net sell ให้เห็นในตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้มีแรงขายเข้ามามากในตลาดหุ้นไทยในวันที่ผ่านมา
ขณะที่ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาน้ำมันดิบ WTI ล่าสุดยังอยู่ที่ 54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ราคาสินค้าในกลุ่มโลหะ (เหล็ก-ทองแดง-สังกะสี) จาก supply ที่ตึงตัว สวนทางกับ demand ที่สูงขึ้น เป็นสินค้าในกลุ่มที่ยังคงมีแนวโน้มดี แม้กลุ่มผู้ผลิตจะเริ่มออกมาเตือนต่อการสูงขึ้นของราคาบ้างก็ตาม แต่ราคาหุ้นและผลประกอบการของผู้ที่มีรายได้อิงกับราคาสินค้าในกลุ่มโลหะดังกล่าว จะยังคงเป็นบวกอยู่
สำหรับปัจจัยในประเทศ การรายงานผลประกอบการที่บริษัทกลาง-ใหญ่รายงานไปค่อนข้างมาก จะมีผลต่อราคาหุ้นเหล่านั้นและตลาดโดยรวมด้วยและจะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นเป็นรายตัวที่กำไรออกมาดี ดังนั้นทิศทางตลาดหุ้นไทย แรงขายที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นเอเชียโดยนักลงทุนต่างประเทศจะเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดหุ้น แม้จะได้แรงหนุนจากการสูงขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯและราคาน้ำมันเข้ามาก็ตาม ซึ่งจะทำให้ภาพตลาดรวมจะผันผวนสูงเพราะมีทั้งข่าวบวกและลบที่มีต่อหุ้นและตลาดอยู่ในเวลาเดียวกัน
"ด้วยแรงขายแบบฉับพลันเมื่อวานนี้ อาจทำให้นักลงทุนไม่ทันตั้งตัวและจะลังเลที่จะเข้าซื้อหุ้นในวันนี้ ตามรูปการณ์แล้ว โอกาสที่เปิดตลาดจะมีการ rebound ของดัชนีฯ แต่ กลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำให้รอดูตลาดถึงช่วงบ่ายว่าดัชนีฯจะยืนบวกได้ต่อเนื่องหรือไม่ และปรับกรอบเวลาลงทุนเป็นสั้น ๆ ทั้งนี้ ในการเก็งกำไรช่วงสั้น หุ้นที่เราคาดว่าอาจได้รับความสนใจจากนักลงทุน อาทิเช่น CPALL , IRPC , PERM , UKEM "นายมงคล กล่าว