บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) เผยกลยุทธ์ทางธุรกิจปี 60 ภายใต้แนวคิด "CONNECTING THAIS FOR SUSTAINABLE GROWTH" มุ่งเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนแก่ผู้ถือหุ้น ภาคธุรกิจและผู้บริโภค ตลอดจนภาคชุมชน สังคมและประเทศ
ในส่วนการสร้างความยั่งยืนผู้ถือหุ้น บริษัท มุ่งเน้นการบริหารสินทรัพย์และการสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นด้วยการลงทุนและบริหารงานในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยี สำหรับภาคธุรกิจและผู้บริโภค บริษัทจะแสวงหาโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ ในธุรกิจโทรคมนาคม สื่อ และเทคโนโลยี อย่างไม่หยุดยั้ง
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตั้งงบในการศึกษาวิจัยและพัฒนาธุรกิจใหม่ 250 ล้านบาท หาโอกาสลงทุนในดิจิตอล เซอร์วิส loTและบิ๊กดาต้า
นายฟิลลิป เชียง ชอง แทน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาน INTUCH กล่าวว่า อินทัชได้วางกลยุทธ์ไว้หลายด้านในการพัฒนาธุรกิจใหม่ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจการร่วมค้า (Joint Venture) การควบรวมกิจการ (Meger and Acquistion) และ/หรือการสร้างการเติบโตจากธุรกิจปัจจุบันซึ่งสินทรัพย์ที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบันนั้นมีศักยภาพในการต่อยอดไปสู่โอกาสธุรกิจใหม่ๆเพื่อรองรับตลาดผู้บริโภคหรือตลาดระดับองค์กร ซึ่งบริษัทเปิดกว้างในการหาพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อให้บริษัทสามารถนำเสนอบริการที่ดีที่สุดกับลูกค้า
อย่างไรก็ดี บริษัทจะพิจารณาโอกาสทางธุรกิจและคัดเลือกอย่างรอบคอบในการลงทุนธุรกิจใหม่เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งในปีนี้เป็นปีแรกที่บริษัทจัดสรรงบประมาณในการศึกษาพัฒนาธุรกิจใหม่ในเบื้องต้นอยู่ที่ 250 ล้านบาท ขณะที่ตั้งงบลงทุนใน Venture Capital จำนวน 200 ล้านบาท หลังจากปี 59 ได้ลงทุน 2 โครงการ คือ Wongnai และ Social Nation โดยขณะนี้มีโครงการใหม่ 4 โครงการ ใช้งบลงทุนไม่ถึง200 ล้านบาท ส่วนอีก 2 โครงการอยู่ระหว่างการดำเนินการเจรจาต่อเนื่อง
ทั้งนี้ อินทัชก็มีแผนนำ Venture Capital รายที่มีแนวโน้มดีเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยขณะนี้ประเมินว่าจะนำ OokBee จะเข้าตลาด mai ภายใน 2-3 ปีนี้ โดย INTUCH ถือหุ้นในสัดส่วน 20%
ปัจจุบัน INTUCH เข้าร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์อัพ 8 บริษัท ซึ่งในปีที่แล้วบริษัทได้ขาย 2 โครงการ โดยได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 20%
นายแทน กล่าวว่า INTUCH ยังคงนโยบายการจ่ายเงินปันผลอัตรา 100% ของกำไรสุทธิแม้ว่า บมจ.แอดวานซ์อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) จะปรับลดอัตราการจ่ายเงินปันผลเหลือ 70% ของกำไรสุทธิ จากเดิมที่จ่ายในอัตรา 100% เพราะต้องแบ่งเงินไปลงทุนในระยะยาว