นางภัทรภร วรรณภิญโญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ทีวี ธันเดอร์ (TVT) กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 60 เติบโตราว 20% จากปีก่อนทำได้ 516.20 ล้านบาท และกำไรสุทธิก็น่าจะเติบโตในทิศทางเดียวกัน จากปีก่อนมีกำไร 48.37 ล้านบาท ทั้งนี้ เป็นไปตามอุตสาหกรรมบันเทิงและเม็ดเงินโฆษณาที่เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากเม็ดเงินโฆษณาที่ปรับตัวลดลง และการระงับการออกอากาศรายการต่างๆ ของสถานีโทรทัศน์ช่วงปลายปี
ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายจะมีรายการและละครเพิ่มเป็น 16-17 รายการ โดยเบื้องต้นมีแผนออกอากาศรายการใหม่และละครใหม่รวม 3 รายการ แบ่งเป็น รายการ ลา แบนด้าไทยแลนด์ (La Banda Thailand) ซีซั่น 2 ที่เตรียมออกอากาศในช่วงไตรมาส 3/60 และละครใหม่อีก 2 เรื่อง คือ "สะใภ้กาฝาก"จะออกอากาศทางช่อง 3 และเตรียมเปิดกล้องละคร"สิงหะ นาคะ" ละครแนวแฟนตาซี ที่จะออกอากาศทางช่อง 3 เช่นเดียวกัน ส่งผลทำให้ปัจจุบันบริษัทมีรายการและละครอยู่ในมือแล้วราว 15 รายการ อีกทั้ง บริษัทยังมีรายการและละครอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างนำเสนอกับสถานีโทรทัศน์อีกราว 1-2 รายการ โดยวางงบลงทุนสำหรับการผลิตรายการในปีนี้ที่ 200-300 ล้านบาท
นอกจากนี้ TVT ยังมีการขยายการผลิตคอนเทนท์ผ่านช่องทาง LINE TV แบบเอ็กซ์คลูซีฟ เช่น รายการเทคกายเอาท์ (Take Guy Out Thailand) รวมถึงผ่านช่องทาง AIS PLAY เช่น รายการ เทคมีเอาท์ เรียลลิตี้ (Take Me Out Reality) อีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยปีนี้ก็ได้รับความไว้วางใจให้ผลิตคอนเทนท์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีสัญญายาวนานถึง 1 ปี จากเดิม 6 เดือน จึงตั้งเป้าจะมีสัดส่วนรายได้จากช่องทางดังกล่าวในปีนี้เติบโตราว 20% จากเดิมมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ราว 10% ของรายได้รวม
สำหรับภาพรวมการแข่งขันของรายการทีวีปีนี้ นางภัทรภร มองว่า ผู้ผลิตคอนเท้นต์มีการเจาะกลุ่มคนดูมากขึ้น ซึ่ง TVT เองก็มีรายการที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งวาไรตี้โชว์ ,เกมส์โชว์ หรือละคร ซึ่งถือได้ว่าเป็นการผสมผสานโปรดักซั่นค่อนข้างกลมกลืน โดยสิ่งที่บริษัทฯจะมีเพิ่มเติม คือการเพิ่มวิธีการนำเสนอของรายการนั้นๆให้มีความน่าสนใจมากขึ้น
"เรามองอุตสาหกรรมธุรกิจบันเทิงปีนี้เริ่มกลับมา และอยู่ในจุดที่ทรงตัวมากขึ้น จากน่าจะก้าวผ่านบางสิ่งบางอย่างมาแล้ว ซึ่งหากมองแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน น่าจะอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ขณะที่เม็ดเงินโฆษณาก็น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ ซึ่งน่าจะเห็นภาพชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 3/60 จากเป็นช่วงพีคของธุรกิจบันเทิง โดยเรามีสัดส่วนรายได้จากค่าโฆษณา 60% และรายได้จากการผลิตคอนเทนท์ 40%"นายภัทรภร กล่าว