นายวิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.ซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล เปิดเผยว่า บริษัทมองเห็นโอกาสและการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนใน REITs ทั่วโลก จึงเตรียมเปิดตัวกองทุนใหม่ (IPO) กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกลบอล รีทส์ (CIMB-PRINCIPAL GREITs) ในช่วงระหว่างวันที่ 27 ก.พ.-3 มี.ค.60
กองทุนดังกล่าวจะนำเงินไปลงทุนในกองทุน PGI Global Property Securities Fund ที่บริหารงานโดยทีม Principal Global Real Estate ซึ่งบริหารจัดการกองทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ติด 1 ใน 10 ของโลกและมีประสบการณ์บริหารกองทุนกว่า 18 ปี โดยมีขนาดสินทรัพย์ภายใต้การบริหารกว่า 1.36 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ประมาณ 5.0 แสนล้านบาท (ณ 31 ธ.ค.59) กลยุทธ์การบริหารการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และ REITs คุณภาพดีทั่วโลกคือการเน้น Bottom Up ที่มีการวิเคราะห์หลักทรัพย์เป็นรายตัว โดยมี 16 ผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านการลงทุนและวิเคราะห์หลักทรัพย์กระจายใน 5 ภูมิภาคทั่วโลก
ส่วนผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของกองทุนดังกล่าวมีผลตอบแทนนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในปี 51 อยู่ที่ 14.41% ต่อปี สูงกว่าดัชนีอ้างอิงที่ 12.91% ต่อปี และยังได้รับรางวัล Best Global Real Estate Securities Fund Awards จาก Lipper ต่อเนื่อง 3 ปี (ปี 56-58) จากผลการดำเนินงานย้อนหลัง 5 ปี
“กองทุนเปิดซีไอเอ็มบี-พรินซิเพิล โกลบอล รีทส์ (CIMB-PRINCIPAL GREITs) เป็นกองทุนที่จะทำให้นักลงทุนไทยได้มีโอกาสลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีคุณภาพดีทั่วโลก โดยเราคาดหวังผลตอบแทนจากเงินปันผล 3 – 5 % ต่อปี และคาดหวังการเติบโตของค่าเช่าที่เกิดจากแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงขาขึ้นอีก 4 – 5% ต่อปี ซึ่งเราคัดเลือกกองทุน PGI Global Property Securities Fund ถือเป็นกองทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลกที่มีผู้เชี่ยวชาญและประสบการณ์การลงทุนใน REITs และอสังหาริมทรัพย์มาอย่างยาวนาน โดยสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ ผสานกับจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม เราจึงเชื่อว่ากองทุน CIMB-PRINCIPAL GREITs จะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่แนะนำให้นักลงทุนจัดพอร์ตการลงทุน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหมาะสม" นายวิน กล่าว
นายวิน กล่าวว่า บริษัทฯ ประเมินการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REITs) และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยความน่าสนใจมาจากโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีจากค่าเช่าที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น หลังทิศทางอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐอเมริกาและทวีปยุโรปเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้งตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะขยับขึ้นสู่ระดับ 2% ภายในปีนี้ เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตลอด 7 ปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อของยุโรปที่ติดลบมานาน ก็ขยับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 1% เมื่อปลายปีที่ผ่านมาและราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ก็ปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนอัตราการจ้างงานที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดีต่างเป็นตัวเร่งอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าหลังจากนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเติบโตแบบค่อยเป็นค่อยไปที่ระดับ 2-2.5% ต่อปี ซึ่งจะส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ จากทิศทางเงินเฟ้อของสหรัฐฯและยุโรปที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยบวกที่ส่งผลดีต่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ผ่านรีททั่วโลก โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้วเนื่องจากเมื่ออัตราเงินเฟ้อปรับเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่ออัตราค่าเช่าอสังหาริมทรัพย์จะปรับขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ภายหลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเมื่อปลายปีที่ผ่านมา รวมทั้งปัจจุบันยังไม่มีสัญญาณการเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายหรือภาวะฟองสบู่ในตลาดอพาร์ตเม้นท์และอาคารสำนักงาน ทำให้การลงทุนมีโอกาสที่อัตราค่าเช่าจะปรับขึ้นซึ่งถึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนในขณะที่อัตราค่าเช่ายังไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น
กองทุนนี้มีจุดเด่นคือการกระจายการลงทุนในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย อาทิ Resident, Service Apartment, Shopping Mall, Shopping Center, ออฟฟิศ, โรงงานอุตสาหกรรม และศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้า ซึ่งมองว่าในปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคือ 1.กลุ่มคลังสินค้า-ศูนย์กระจายสินค้า เนื่องจากปัจจัยการเติบโตของเศรษฐกิจอเมริกาส่งผลให้ประชาชนมีความสามารถในการซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น ประกอบกับการเติบโตของธุรกิจ e-Commerce ทำให้คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ามีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึงกว่า 92%
และ 2.กลุ่ม Service Apartment ที่มีอัตราเช่าพื้นที่สูงกว่า 95% และอัตราค่าเช่าเติบโตมากกว่า 5% ต่อปี เนื่องจากคนหนุ่มสาวในยุค Millennials พฤติกรรมเปลี่ยนไปคือการแยกตัวออกมาเช่าห้องพัก รวมทั้งผู้สูงอายุที่ต้องการย้ายไปอยู่ในห้องหรือบ้านพักที่มีขนาดเล็กลง มีผลให้อพาร์ตเมนต์ในภูมิภาคยุโรปโดยเฉพาะประเทศเยอรมนีเติบโตดีมาก ส่วนอุตสาหกรรมที่น่าสนใจลงทุนในระดับรองลงมาคือ Telecom Tower (เสาส่งสัญญาณโทรคมนาคม) Mall & Outlet และ Self Storage (พื้นที่จัดเก็บของใช้ส่วนตัว) ซึ่งเติบโตตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น