นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฏิบัติการ บมจ. มาลีกรุ๊ป (MALEE) เปิดเผยว่า ในปี 60 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของยอดขายไว้ที่ 10-15% ซึ่งการเติบโตจะมาทั้งจากธุรกิจ Brand และธุรกิจ CMG ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทั้งนี้ ยอดขายต่างประเทศยังมีแนวโน้มการเติบโตสูงกว่าการเติบโตภายในประเทศ เช่นเดียวกับปีทีผ่านมา
ปัจจุบัน บริษัทฯ มีธุรกิจร่วมทุน 2 บริษัท คือ Monde Malee Beverage Corporation (MMBC) ในประเทศฟิลิปปินส์ และ Mega Malee Company Limited (Mega Malee) ในประเทศไทย ทั้งนี้ MMBC เป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนยอดขายต่างประเทศ ซึ่งแม้ว่าจะมีผลประกอบการขาดทุนในปีที่ผ่านมา แต่ผลขาดทุนถือว่าอยู่ในระดับปกติและอยู่ภายใต้แผนธุรกิจของบริษัทฯ โดยผลขาดทุนของ MMBC ถือเป็นเหตุการณ์ปกติของธุรกิจในช่วงแรกที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ในขณะที่ Mega Malee มีแผนการออกผลิตภัณฑ์พร้อมดื่มเพื่อสุขภาพจากธรรมชาติรายการแรกในประเทศไทยประมาณในช่วงครึ่งหลังของปี 2560
นอกเหนือจากวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่จะขยายขอบเขตการดำเนินธุรกิจจากผลไม้และเครื่องดื่ม มาเป็นการดูแลสุขภาพของผู้บริโภคอย่างเต็มตัว บริษัทฯ ยังได้ดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่เมื่อวันที่ 12 ม.ค.60 คือ บริษัท มาลี แอพพลายด์ ไซเอ็นซ์ จำกัด เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบริษัทฯ ทางด้านการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม โดยมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่า (Value Added) ให้กับสินค้าและบริการ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของธุรกิจปัจจุบันและรองรับการเติบโตของธุรกิจอื่นในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งหวังให้การสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตผลพลอยได้ต่างๆ ของบริษัทฯ (By-products) มีส่วนร่วมในการสนับสนุนความมั่นคงทางรายได้ให้กับเกษตรกรไทยต่อไป"
“บริษัทฯ มีความมุ่งมั่นในการรักษาการเติบโตต่อไปอย่างมั่นคง โดยไม่พึ่งพาธุรกิจใดธุรกิจหนึ่งมากเกินไป โดยในช่วงระหว่างปี 58-59 ที่ผ่านมา รวมถึงในปี 60 บริษัทฯ ได้มีการดำเนินการเตรียมความพร้อมภายในบริษัทฯ ในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ การมุ่งเน้นการพัฒนาศักยภาพและทัศคติของพนักงาน การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้มีความเข้มแข็ง การใส่ใจและการดำเนินธุรกิจกับลูกค้าและคู่ค้าทั้งรายใหญ่และรายเล็กอย่างเป็นธรรม การปรับปรุงเครื่องจักรและโรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการผลิต การบริหารความเสี่ยงในด้านการจัดหาวัตถุดิบ รวมถึงการแสวงหาโอกาสทางการตลาดและพันธมิตรใหม่ๆ ที่มีความสามารถหรือความชำนาญในด้านต่างๆ เพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจร่วมกันทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเตรียมความพร้อมทั้งหมดของบริษัทฯ นี้เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจอย่างก้าวกระโดดในอนาคต และเพื่อการเติบโตขององค์กรต่อไปอย่างยั่งยืน"
สำหรับยอดขายในไตรมาส 4/59 รวม 1,507 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 14% QoQ และ 2% YoY จากการชะลอตัวของการบริโภคภายในประเทศ รวมถึงยอดขายต่างประเทศของธุรกิจ CMG ที่ลดลง QoQ จากผลกระทบตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ Brand ในต่างประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่องทั้ง QoQ และ YoY จากการทำงานอย่างใกล้ชิดกับตัวแทนจำหน่ายในการวางแผนการตลาดและส่งเสริมการขายในแต่ละประเทศ ในขณะที่ธุรกิจ CMG ยังคงเติบโตโดดเด่น YoY
ทั้งนี้ ถึงแม้ยอดขายในไตรมาส 4/59 จะปรับตัวลดลง แต่กำไรของกลุ่มบริษัทยังคงเติบโต 11% YoY โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 117 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ในด้านการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในการดำเนินงาน
“ปี 59 เป็นอีกปีที่บริษัทฯ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง สามารถบรรลุยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ในปี 21 โดยบริษัทฯ และบริษัทย่อยมียอดขายรวม 6,541 ล้านบาท เติบโต 21% YoY และมีกำไรสุทธิ 530 ล้านบาท เติบโต 60% YoY โดยเป็นกำไรสูงสุดนับจากช่วงปี 55 ซึ่งเป็นปีที่บริษัทฯ ได้รับผลประโยชน์จากการรับจ้างผลิตให้กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ CMG ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมใหญ่ในปี 54" นางสาวรุ่งฉัตร กล่าว