นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ กลุ่มทิสโก้ กล่าวว่า การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 28 ก.พ. นี้ เป็นที่จับตามองเป็นอย่างมาก โดยหากมีการเปิดเผยรายละเอียดของแผนการปฏิรูปภาษีและแผนการลงทุนภาครัฐที่ชัดเจน ก็อาจเป็นปัจจัยบวกให้ตลาดหุ้นโลกสามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้ อย่างไรก็ดีมองว่าตลาดมีโอกาสผิดหวัง และปรับฐานลงหลังการแถลงนโยบายดังกล่าวอยู่พอสมควร เนื่องจากการปรับตัวขึ้นแรงของตลาดในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น่าจะสะท้อนถึงความคาดหวังของนโยบายต่าง ๆ ไปค่อนข้างมากแล้ว
ทั้งนี้ นับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 8 พ.ย.59 ตลาดหุ้นทั่วโลกได้ปรับตัวขึ้นมามากจากความคาดหวังต่อนโยบายการลดภาษีและแผนการลงทุนภาครัฐจากประธานาธิบดีทรัมป์ อย่างไรก็ดี ในช่วง 1 เดือนหลังการเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 20 ม.ค. ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีทรัมป์ยังไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดมากนัก เกี่ยวกับแผนการลดภาษีและโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานตามที่หาเสียงไว้ มีแต่กล่าวไว้เพียงสั้น ๆ ว่าจะมีการเปิดเผยแผนปฏิรูปภาษี “ขนาดใหญ่" ในช่วง 2-3 สัปดาห์นี้
โดยต้องจับตามองประเด็นการเสนอให้มีการจัดเก็บภาษีนิติบุคคลตามแหล่งที่ขาย (Border Adjustment Tax) ซึ่งจะส่งผลให้สินค้าที่นำเข้าไปขายในสหรัฐฯ ถูกเรียกเก็บภาษีสูงขึ้น ในขณะที่รายได้จากการส่งออกสินค้าจากสหรัฐฯ จะได้รับการยกเว้นภาษีนิติบุคคล ซึ่งหากประธานาธิบดีทรัมป์ แสดงท่าทีเห็นด้วยกับภาษีดังกล่าว ก็อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น และส่งผลกดดันการค้าโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบและอาจจุดชนวนให้เกิดกระแสเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นใน Emerging Market รวมถึงไทยด้วย
"เรามองว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับฐาน จากความผิดหวังในการแถลงนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ ในวันที่ 28 ก.พ. นี้ และแนะนำให้นักลงทุนเริ่มทยอยขายทำกำไรในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นมามาก"นายคมศร กล่าว