ทั้งนี้ บริษัทได้วางงบประมาณด้านการทำตลาดประมาณ 30 ล้านบาท แบ่งเป็นการทำตลาดในส่วนของบีโลว์เดอะไลน์ (Below the Line) ประมาณ 70% และอะโบฟเดอะไลน์ (Above the Line) ประมาณ 30% ผ่านการจัดกิจกรรม ณ จุดขาย การสร้างการรับรู้ในตัวผลิตภัณฑ์ การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ และการทำโปรโมชั่นการขายต่างๆ ซึ่งได้มีการเจรจากับพันธมิตรเพื่อเพิ่มช่องทางการการขายที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ยังเข้าไม่ถึง โดยในปีนี้ผุดแคมเปญลมร้อยแลกลมเย็น ซึ่งผู้บริโภคสามารถนำพัดลมเก่า ยี่ห้อหรือขนาดใดก็ได้มาแลกซื้อพัดลมไอเย็นมาสเตอร์คูล ณ จุดขาย รับส่วนลด 500 บาททุกรุ่นทุกเครื่อง นอกจากนี้ยังมีอีกแคมเปญเอาใจผู้บริโภค มาสเตอร์คูล เย็นสบาย...สบาย 0% ซึ่งผู้บริโภคสามารถใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตชั้นนำผ่อนจ่ายพัดลมไอเย็นมาสเตอร์คูล 0% สูงสุด 10 เดือน
นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนการบริหารจัดการในการผลิตสินค้าเพื่อสะสมสต๊อกให้ทันความต้องการที่จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขณะนี้มีตัวแทนจำหน่ายจำนวนมากเริ่มมีการสั่งสินค้าเพื่อสะสมสต๊อกเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาดเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ซึ่งการสั่งสต๊อกครั้งนี้เพื่อรองรับฤดูกาลขายในช่วงหน้าร้อนของปี 60 ที่จะเริ่มตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.เป็นต้นไป โดยขณะนี้บริษัทได้มีการบริหารคลังสินค้าเพื่อจัดเก็บสต๊อกเป็นที่เรียบร้อย พร้อมการจัดส่งสินค้าให้ทั่วถึงไปยังตัวแทนจัดจำหน่ายทั่วประเทศและในต่างประเทศ รวมไปถึงการขยายช่องทางจัดจำหน่ายที่ปัจจุบันมี 400 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 800 แห่งทั่วประเทศในปีนี้
นายนพชัย วีระมาน กรรมการผู้จัดการ KOOL เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้จะเติบโตต่อเนื่องอย่างก้าวกระโดดไปที่ไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านบาทในปี 63 เนื่องจากริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้านอกเหนือจากพัดลมไอเย็น ในช่วงเดือน มิ.ย.นี้ โดยบริษัทคาดหวังที่สร้างสัดส่วนรายได้ราว 20% ของรายได้รวม เพื่อที่จะชดเชยยอดขายที่หายไปในครึ่งปีหลัง หรือช่วงฤดูฝน และ ฤดูหนาว เพื่อเป็นการสร้างเสถียรภาพของรายได้
"ปี 63 รายได้ของเราจะทะลุ 3,000 ล้านบาทได้ ด้วยการเพิ่มยอดขายทั้งในและต่างประเทศที่ยังขยายตัวได้อีกมาก โดยปัจจุบันบริษัทฯถือว่าเป็นผู้ประกอบการรายหลัก และมีส่วนแบ่งมากที่สุดในตลาดพัดลมไอเย็น นอกจากนี้บริษัทฯยังมีแผนที่จะเพิ่มยอดขายในส่วนของเครื่อใช้ไฟฟ้าอื่นๆเพิ่มเติม และยังมีธุรกิจประหยัดพลังงานที่บริษัทฯเริ่มดำเนินการตั้งแต่ช่วงปลายปีก่อนและเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย"นายนพชัย กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯตั้งเป้าอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯในปีนี้จะเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนอยู่ที่ 9.78% เนื่องจากบริษัทฯมีการบริหารจัดการเรื่องของต้นทุนได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเรื่องของค่าโฆษณาที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ต่ำกว่ายอดขาย ในขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีการประกันความเสี่ยงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อที่จะไม่ให้มีผลขาดทุนเหมือนเช่นที่เกิดขึ้นในปี 58