นายมนรัฐ ผดุงสิทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บลจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFund) เปิดเผยว่า LHFund เปิดตัวกองทุนใหม่ ‘แอล เอช สแทรทิจี อิควิตี้’(LHSTRATEGY) วงเงินลงทุน 1,000 ล้านบาท ในวันที่ 1-7 มี.ค.60 โดยไม่กำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำในครั้งแรกและครั้งถัดไป และจะกำหนดวันเริ่มรับคำสั่งขายคืนหน่วยลงทุนภายใน 15 วันทำการนับจากวันที่จดทะเบียนกองทุนรวม ซึ่งจะเปิดให้ผู้ถือหน่วยลงทุนสามารถเลือกรับผลประโยชน์ได้ทั้งชนิดขายคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ชนิดสะสมมูลค่าและชนิดจ่ายเงินปันผลที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่เกินปีละ 12 ครั้ง
ทั้งนี้ กองทุนดังกล่าวมีนโยบายเข้าลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ/หรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เน้นหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ เพื่อลดความผันผวนโดยรวมของกองทุนให้อยู่ในระดับต่ำ เช่น ลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนด้านราคาค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ, หุ้นที่มีอัตราจ่ายเงินปันผลสูงหรือหุ้นที่มีอัตราเติบโตของการจ่ายเงินปันผลสูง เป็นต้น
“ปีนี้ LHFund มีแผนเปิดตัวกองทุนใหม่อีกหลายกองทุน โดยการเปิดตัวกองทุน LHSTRATEGY ถือเป็นทางเลือกแก่ผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่มีความผันผวนต่ำ คาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยอาจมีความผันผวนเกิดขึ้น แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสที่ดัชนีจะปรับตัวขึ้นไปเกินกว่าระดับ 1,600 จุดได้ เนื่องจากพื้นฐานตลาดหุ้นไทยยังมีแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับประเทศในแถบอาเซียน" นายมนรัฐ กล่าว
นายมนรัฐ กล่าวว่า LHFund ประเมินว่าการลงทุนในตราสารทุน (หุ้น) ในปีนี้ ยังคงให้โอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารประเภทอื่นๆ แต่จะต้องใช้ความรอบคอบระมัดระวังในการตัดสินใจลงทุนเพิ่มขึ้น หลังจากในปีที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถปรับตัวขึ้นสูงถึง 19% โดยคาดการณ์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 60 มีโอกาสที่ดัชนีจะขยับขึ้นไปแตะที่ระดับ 1,600-1,650 จุด จากสิ้นปีก่อน ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,542.94 จุด
สำหรับปัจจัยภายในประเทศที่มีผลต่อการเติบโตของตลาดหุ้นไทยในปีนี้ เช่น การคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจที่จะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากปีก่อน โดยประเมิน GDP ในปีนี้จะเติบโตมากกว่า 3% จากการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมของรัฐบาลที่ส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในภาคธุรกิจและการลงทุน ขณะที่ปัจจัยภายนอกประเทศ IMF คาดการณ์ว่า GDP ของโลก ปรับเพิ่มเป็น 3.40% จาก 3.10% ของปีก่อนหน้า (ข้อมูลจาก IMF มกราคม 2560)
ส่วนแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่จะส่งผลกระทบต่อตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกนั้น LHFund วิเคราะห์ในระยะยาวมีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นและทำ New High ในอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากขึ้นเช่นกัน