บมจ.ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ (CI) ศึกษาการเข้าซื้อธุรกิจโรงแรมในยุโรป โดยสนใจกิจการในประเทศอังกฤษ อิตาลี และฝรั่งเศส พร้อมทั้งตั้งงบลงทุนเบื้องต้นไว้แห่งละ 1-2 พันล้านบาท คาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้ข้อสรุปขัดเจนอย่างน้อย 1 แห่ง
สำหรับผลประกอบการในปี 60 ตั้งเป้ารายได้เติบโต 5-10% โดยขณะนี้มียอดขายอสังหาริมทรัพย์รอโอน (Backlog) ราว 2.7-2.8 พันล้านบาท ซึ่งมีกำหนดโอนในปีนี้ 2 พันล้านบาท ส่วนแผนงานจะชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไปก่อน เนื่องจากมองว่าภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ยังไม่มีความชัดเจน โดยบริษัทจะเน้นการเปิดเฟสใหม่ของโครงการเดิม 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 2-3 พันล้านบาท
ขณะที่บริษัทเตรียมแผนงานเพื่อนำสินทรัพย์ที่เป็นโรงแรมใน จ.ภูเก็ต และ อ.หัวหิน ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SRIPANWA) ในปี 61
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CI เปิดเผยว่า บริษัทมองหาโอกาสในการลงทุนโรงแรมในต่างประเทศ ซึ่งอยู่การศึกษาการเข้าซื้อโรงแรมอังกฤษ ฝรั่งเศส และอิตาลี เพราะปัจจุบันมูลค่าสินทรัพย์ในยุโรปลดลงค่อนข้างมาก หลังจากเงินยูโรและเงินปอนด์อ่อนค่าลงมาก เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจยุโรปตกต่ำและได้รับผลกระทบจากกรณี BREXIT จึงมองว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนไม่สูงมากนัก ซึ่งประเมินว่าบริษัทจะได้รับอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนราว 20% โดยบริษัทตั้งงบเข้าซื้อสินทรัพย์แห่งละไม่เกิน 1.5-2 พันล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าซื้อโรงแรมในต่างประเทศบริษัทมีจุดประสงค์เพื่อนำสินทรัพย์ดังกล่าวขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โรงแรมศรีพันวา (SRIPANWA) เพื่อทำให้ขนาดของกอง SRIPANWA มีมูลค่าแตะระดับ 1 หมื่นล้านบาทใน 5 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันอยู่ที่ 3 พันล้านบาท โดยในปี 61 บริษัทเตรียมนำโรงแรม BA BA Beach Club ภูเก็ต และหัวหิน มูลค่ารวมประมาณ 2.5 พันล้านบาท ขายเข้ากอง SRIPANWA เพื่อทำให้มูลค่ากองเพิ่มแตะ 5 พันล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างศึกษาการพัฒนาโครงการอาคารพักอาศัยแนวสูงกลางเมือง ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่เพื่อเป็นแลนด์มาร์คอีกแห่งของกรุงเทพ ซึ่งอยู่ระหว่างการเจรจาเรื่องราคาขายที่ดินกับเจ้าของที่ดินอยู่
ส่วนการลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทน โดยร่วมกับบมจ.ล็อกซเล่ย์ (LOXLEY) เพื่อลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเพื่อขายไฟฟ้าให้แก่ภาครัฐ ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว และอยู่ในขั้นตอนศึกษาด้านกฏหมาย ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเห็นความชัดเจนของการลงทุนภายในปี 60 และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท
นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 60 เติบโต 5-10% จากปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 3.41 พันล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ในปีนี้ราว 2 พันล้านบาท จาก Backlog ทั้งหมดที่บริษัทมี 2.7-2.8 พันล้านบาท โดย Backlog ส่วนที่เหลือจะทยอยโอนภายในปี 61 และบริษัทจะพยายามรักษาระดับของ Backlog ในแต่ละปีให้อยู่ในระดับ 2-3 พันล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตของรายได้ในอนาคต
ส่วนการเปิดโครงการใหม่ในปี 60 บริษัทได้ชะลอการเปิดโครงการ เพราะภาวะเศรษฐกิจในประเทศยังคงชะลอตัว ส่งผลให้ภาพรวมของอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไนประเทศชะลอตัวตาม ประกอบกับ ยังมีปัญหาปริมาณซัพพลายด์ล้นตลาดในบางทำเล ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทุกรายมีความระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ดังนั้น บริษัทจึงหันไปเน้นการขยายเฟสใหม่ของโครงการเดิม 3-4 โครงการ มูลค่ารวม 2-3 พันล้านบาท ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวบางนาและพระราม 9 เฟส 2, โครงการคอนโดมิเนียมเชียงใหม่ เฟส 2 และโครงการคอนโดมิเนียมทิวทะเล เฟส 4
บริษัทตั้งงบซื้อที่ดินในปีนี้ราว 2 พันล้านบาท เพื่อจัดหาที่ดินที่มีความเหมาะสมในการพัฒนาทั้งในส่วนของโครงการแนวสูงและโครงการแนวราบทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด โดยในส่วนของทำเลไนต่างจังหวัดจะยังคงเน้นจังหวัดที่บริษัทมีโครงการอยู่แล้ว เพราะเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต และเพชรบุรี เป็นต้น และเป็นจังหวัดที่มีกำลังซื้อค่อนข้างดี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง