นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า ช่วงเดือนมีนาคมนี้ตลาดหุ้นไทยจะเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ 1,530-1,590 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อที่เบาบาง โดยประเด็นสำคัญที่กดดันตลาด คือ กระแสเม็ดเงินต่างชาติ (Fund flow) ในตลาดพันธบัตรที่เริ่มติดลบ จากการที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมีสัญญาณขายสุทธิทั้งในตราสารหนี้ระยะสั้นและยาว หลังจากที่ซื้อสุทธิมาตลอดก่อนหน้านี้ ไม่นับรวมการ Short สุทธิในตลาดล่วงหน้าอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน เริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ของนักวิเคราะห์ในบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับอุปสงค์ในประเทศ หลังแนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐชะลอตัว อาทิ กลุ่มค้าปลีก กลุ่มบริการรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มอสังหาฯ และกลุ่มสื่อสาร ซึ่งส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีมูลค่าแพงขึ้นโดยอัตโนมัติ
ประกอบกับ ความผันผวนทางปัจจัยการเมืองในยุโรป โดยในเดือนนี้ต้องติดตามการลงมติของรัฐสภาอังกฤษต่อร่างกฎหมายการแยกตัวออกจากยุโรป (Brexit) ซึ่งหากผ่านความเห็นชอบ จะทำให้ นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนเพื่อเริ่มต้นกระบวนการ Brexit ทันที นอกจากนั้นต้องติดตามกระแสความนิยมของนางมารีน เลอ แปน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสฝ่ายขวาจัด ที่มีจุดยืนในการนำฝรั่งเศสแยกตัวจากสหภาพยุโรป
สำหรับปัจจัยบวกในเดือนนี้ คือ การคาดการณ์ว่าธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะมีมติคงดอกเบี้ยที่ 0.50-0.75% ในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมนี้ ด้วยเหตุผล 3 ประการ คือ ระดับเงินเฟ้อยังไม่ถึงเป้าหมาย ความไม่แน่นอนในนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และที่สำคัญ FED มักไม่ชอบเซอร์ไพร์สตลาดในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จริง คาดว่าตลาดยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่
ขณะเดียวกันประเมินว่า ดัชนีภาคการผลิต (PMI) ของประเทศสำคัญต่าง ๆ ทั่วโลก จะยังทรงตัวแข็งแกร่ง ซึ่งมีโอกาสช่วยประคับประคองราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ ดังนั้นแนะนำทยอยซื้อหุ้นเมื่อตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงมาในบริเวณ 1,530-1,550 จุด
"คาดตลาดหุ้นในช่วงครึ่งเดือนแรกจะแกว่งตัวผันผวนตามความกังวลของนักลงทุนต่อประเด็นการขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในช่วงกลางเดือน หาก FED มีมติไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 14-15 มีนาคมตามคาด ประเมินว่าจะเป็น Sentiment เชิงบวกที่เกิดขึ้นกับตลาดหุ้นเกิดใหม่อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้หากในช่วงครึ่งเดือนแรก SET Index ปรับตัวลงมาทดสอบแนวรับที่ 1,530-1,550 จุด ให้ใช้จังหวะดังกล่าวในการทยอยซื้อหุ้นได้"นายณัฐชาต กล่าว
สำหรับหุ้นที่น่าสนใจในเดือนมีนาคมประกอบด้วย บมจ.กรุ๊ปลีส (GL) ซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นที่มีโอกาสถูกนำเข้าดัชนี MSCI Standard Index ในการคำนวณรอบเดือนพฤษภาคมนี้ ขณะที่การเติบโตปีนี้ยังสดใส โดยนอกจากจะสามารถรับรู้กำไรของธุรกิจที่ศรีลังกาเข้ามาเต็มปีแล้ว ธุรกิจในทุกประเทศยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอยู่ ทั้งกัมพูชา เมียนมา และอินโดนีเซีย แนะนำ “ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 72 บาท
บมจ.ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี (STA) ซึ่งมีความเสี่ยงขาลงจำกัดหลังจากราคาปรับตัวลงมา 30% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา โดยราคาที่อ่อนตัวลงมาน่าจะรับรู้ผลประกอบการไตรมาส 4/59 ที่อ่อนแอ รวมถึงราคายางที่อ่อนตัวชั่วคราวไปพอสมควรแล้ว ประเมินแนวโน้มราคายางจะกลับมาสูงขึ้นในเดือนมีนาคม - พฤษภาคม เพราะเป็นช่วงปิดหน้ายาง ซึ่งจะมียางสดเข้ามาในตลาดน้อยลง ประกอบกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการส่งเสริมอุตสาหกรรมรถยนต์ขนาดเล็กในจีน จะส่งผลให้มีความต้องการใช้ยางในอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น แนะนำ “ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 33.30 บาท
บมจ. โคแมนชี่ อินเตอร์เนชั่นแนล (COMAN) เป็นหนึ่งในหุ้นที่ได้อานิสงส์จากยุค Thailand 4.0 จุดเด่นได้แก่ลักษณะของธุรกิจที่ไม่มีต้นทุนการผลิตส่วนเพิ่ม ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิของบริษัทมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นและเติบโตอย่างก้าวกระโดดตามยอดขาย นอกจากนั้นบริษัทย่อย MSL ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาระบบ Big data analytic ซึ่งสอดคล้องกับยุคสมัยที่ต้องพึ่งพาการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่มากขึ้น แนะนำ “ซื้อ" ที่ราคาเป้าหมาย 12.44 บาท มองการปรับตัวลงมาของราคาหุ้นเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าสะสม