นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังร่วมหารือกับผู้บริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ลงต.) ว่า ได้มอบหมายให้ ตลท.ส่งเสริมให้ธุรกิจประเภท Innovation ใช้ช่องทางตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นแหล่งระดมทุนมากขึ้น โดยวางเป้าหมายให้เพิ่มสัดส่วนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่มเป็น 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทจดทะเบียนใหม่ในแต่ละปี ภายใน 3 ปีข้างหน้า จากอยู่ที่ราว 30% ซึ่งในปีนี้ ตลท.ตั้งเป้ามาร์เก็ตแคปเพิ่มเข้ามาจาก บจ.ใหม่ที่ 2.8 แสนล้านบาท
ปัจจุบัน ตลท.และ ก.ล.ต.ได้ร่วมกันทำงานใน 2-3 ประเด็น โดยประการแรก ต้องการที่จะให้ ตลท. เป็นแหล่งระดมทุนที่สอดรับกับการพัฒนาประเทศ และเน้นการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ และมุ่งการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ โดยหนึ่งในนั้นคือการส่งเสริมให้ธุรกิจประเภท Innovation เข้ามาจดทะเบียนมากขึ้น
ประเด็นถัดมา การพัฒนาตลาดทุนไทยให้เป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMV ทั้งกัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม โดยปัจจุบันทางตลท. ก็ได้เดินทางไปในประเทศต่าง ๆ เพื่อที่จะชักจูงให้บริษัทต่าง ๆ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย และมีกิจกรรมร่วมกันค่อนข้างมาก เพื่อที่จะให้ตลาดทุนไทยสามารถเชื่อมโยงไปยัง CLMV
ประเด็นที่ 3 การพัฒนาให้ตลาดทุนไทยศูนย์กลางในการเชื่อมโยงและสร้าง ผู้ประกอบการที่เป็นบริษัท Innovation และสตาร์ทอัพ โดยปัจจุบันมีกองทุนต่าง ๆ และบริษัทต่าง ๆ ที่มีความพร้อมที่จะเข้าไปช่วยเหลือและให้เงินทุนกับผู้ประกอบการเหล่านี้ มูลค่ากว่า 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ยังเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุนอีกมาก ซึ่งตลท. จะมีหน้าที่ในการเชื่อมโยงให้เข้าถึงแห่ลงเงินทุน และพัฒนาต่อไปสู่ ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) และ SET ต่อไป
ประเด็นสุดท้ายคือเรื่องของคุณภาพ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีความสำเร็จแล้วด้านปริมาณ ซึ่งต่อจากนี้จะต้องเน้นในเรื่องของคุณภาพด้วย โดยหลังจากนี้ทาง ก.ล.ต. และ ตลท. จะมีมาตรการที่เข้ามาดูแล และควบคุมที่มีความเข้มงวดมากขึ้น โดยจะเน้นการดูแลความถูกต้องควบคู่ไปกับการปริมาณด้วย
นายสมคิด กล่าวอีกว่า การหารือกับ ผู้จัดการ ตลท.และ เลขาธิการ ก.ล.ต.ในวันนี้ ยังได้ติดตามความคืบหน้าของสิ่งที่เคยมอบหมายไว้เมื่อช่วงปลายปี 59 โดยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 659 บริษัท ในปี 59 มีกำไรสุทธิเติบโตถึง 26.5% ถือว่าเป็นระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับปี 58 ที่กำไรสุทธิเติบโตเพียง 1% จากปี 57 และบริษัทจดทะเบียนมีโครงสร้างที่ดีมีระดับอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับที่เหมาะสมและแข็งแรง แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจน
โดยมีการฟื้นตัวในทุก ๆ มิติอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการบริโภคในประเทศ การลงทุนจากของผู้ประกอบการจากต่างประเทศ อุตสาหกรรมการผลิต และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวได้เร็วมากจากช่วงปลายปีก่อน ขณะที่การส่งออกในเดือนม.ค. เติบโตได้ถึง 8% แต่อย่างไรก็ตามจะไม่ประมาท โดยจะทำให้การเติบโตนี้มีความยั่งยืน ซึ่งจะเดินตามแผนการปฎิรูปเศรษฐกิจต่อไป
"ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าเป็นการเติบโตที่ดี แต่อย่างไรก็ตามเราจะไม่ประมาท และเดินหน้าปฎิรูปเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะให้เกิดความยั่งยืนของเศรษฐกิจไทย โดยในปีที่ผ่านมาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทยดีมาก ซึ่งถ้าหากเราสามารถประคับประคองให้เศรษฐกิจได้แบบนี้เราก็จะมีลู่ทางที่ดี และมีอนาคตที่ดีและแจ่มใสด้วย"นายสมคิด กล่าว