นางรัชดาภรณ์ ราชเทวินทร์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งงบลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 60-64) ที่ 20,700 ล้านบาท ส่วนใหญ่ใช้ในปีนี้ราว 11,539 ล้านบาท เพื่อลงทุนตามแผนขยายงาน ซึ่งเป็นการขยายกำลังการผลิตโพลีโพรพิลีน (PP) จำนวน 4,146 ล้านบาท โครงการเพิ่มมูลค่าเพื่อผลิตภัณฑ์สะอาด (โครงการ UHV) จำนวน 1,716 ล้านบาท โครงการ EVEREST เพื่อเพิ่มขีดความสามารถองค์กรในทุกด้าน จำนวน 826 ล้านบาท โครงการอื่น ๆ 1,616 ล้านบาท เป็นต้น หลังจากนั้นในปีถัด ๆ ไป บริษัทยังไม่มีโครงการลงทุนขนาดใหญ่ งบลงทุนก็จะถูกใช้ในเรื่องของการซ่อมบำรุงเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้บริษัทยังอยู่ระหว่างการศึกษาการขยายกำลังการผลิตโอเลฟินส์อีกราว 30% หรืออีก 3 แสนตัน/ปี และการก่อสร้างโรงงานพาราไซลีน (PX) ขนาด 9 แสนตัน/ปี มูลค่าลงทุนราว 1-1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยเตรียมจะเสนอต่อคณะกรรมการบริษัทในช่วงกลางปีนี้ หากคณะกรรมการเห็นชอบก็อาจจะต้องปรับเพิ่มเงินลงทุนตามแผน 5 ปีดังกล่าวด้วย ซึ่งการลงทุนดังกล่าวจะเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับแนฟทาซึ่งเป็นวัตถุดิบ ที่บริษัทจะมีจำนวนมากขึ้น หลังจากโครงการ UHV แล้วเสร็จ
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปีนี้ที่ระดับ 1.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระดับ 1.74 หมื่นล้านบาทในปีที่แล้ว โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากโครงการ EVEREST ที่จะสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษี (EBIT) ราว 7 พันล้านบาทตามเป้าหมาย หลังจากปีที่แล้วทำได้ต่ำกว่าเป้าเพราะโครงการ UHV มีความล่าช้า
ขณะเดียวกัน บริษัทจะได้รับมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นจากโครงการ UHV ที่จะเริ่มเดินเครื่องได้เต็มทั้ง 100% ตั้งแต่กลางปีนี้ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้เริ่มเดินเครื่องบางส่วนตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และหยุดซ่อมบำรุงตามแผนงานที่ได้หยุดทุกโรงงานของบริษัทเป็นเวลาเฉลี่ย 30 วันเริ่มตั้งแต่ต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเมื่อโครงการ UHV เดินเครื่องได้เต็มที่จะทำให้มีมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นราว 2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เฉลี่ยทั้งปี อีกทั้งยังจะได้รับมาร์จิ้นที่เพิ่มขึ้นจากโครงการขยายกำลังการผลิต PP เป็น 7.75 แสนตัน/ปีที่จะแล้วเสร็จในไตรมาส 3/60 ซึ่งจะสร้างมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นอีกราว 1 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เฉลี่ยทั้งปี
อย่างไรก็ตาม การหยุดซ่อมบำรุงทั้งโรงงานของกลุ่มบริษัทในปีนี้เป็นเวลาเฉลี่ยราว 30 วันนั้น ก็จะทำให้กำลังการกลั่นโดยรวมในปีนี้ลดลงมาอยู่ที่ราว 1.72 แสนบาร์เรล/วัน จากเฉลี่ย 1.83 แสนบาร์เรล/วันในปีที่แล้ว ขณะเดียวกันยังคาดว่าส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในช่วงครึ่งแรกปีนี้ จะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยซัพพลายของโอเลฟินส์ยังคงตึงตัว ขณะที่ยังมีความต้องการเพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีน
นางรัชดาภรณ์ คาดว่าภาระจ่ายดอกเบี้ยของบริษัทในปีนี้จะลดลง หลังจากได้รับวงเงินกู้ร่วมจากสถาบันการเงินรวม 5 แห่ง เพื่อรีไฟแนนซ์เงินกู้และหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระและไถ่ถอนจำนวน 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้บริษัท สามารถประหยัดดอกเบี้ยจ่ายได้ราว 300-400 ล้านบาท/ปี หรือทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวที่อยู่ที่กว่า 4% ต่อปีเหลือราว 3.5% ต่อปี ซึ่งบริษัทก็จะเริ่มทยอยเบิกเงินกู้ตามระยะเวลาการชำระคืนหนี้ในปีนี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนพ.ค.