นายโฮ เรน ฮวา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการ บมจ.ไทยวา (TWPC) ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลังรายใหญ่และครองส่วนแบ่งตลาดวุ้นเส้นอันดับหนึ่งในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องแตะ 1 หมื่นล้านบาทภายในปี 62 จากเป้าหมายปี 59 ที่ระดับ 6.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนในช่วง 3 ปี (ปี 60-62) รวม 1-2 พันล้านบาท เพื่อขยายกำลังการผลิต เข้าซื้อกิจการ (M&A) และดำเนินโครงการใหม่ในกลุ่มประเทศ CLMV โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาทำ M&A กิจการเกี่ยวเนื่องใน CLMV คาดว่าจะได้ความชัดเจนราว 1-2 รายในช่วงปีนี้ถึงปีหน้า
พร้อมกันนั้น บริษัทยังจะเสนอให้คณะกรรมการบริษัทพิจารณาขยายเพดานการถือหุ้นของต่างชาติ เนื่องจากปัจจุบันเข้ามาถือใกล้เต็มเพดานที่ 50-55% แล้ว
"บริษัทวางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจในภูมิภาคโดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องและยังมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการวัตถุดิบของบริษัทได้เป็นอย่างดี"นายโฮ เรน ฮวา กล่าว
นายโฮ เรน ฮวา กล่าวว่า การเติบโตในระยะ 3-5 ปี (ปี 60-64) จะเป็นลักษณะ High-single digit Growth and Sustainability เป็นไปตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับการพัฒนาโปรดักส์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมุ่งเน้นสินค้าที่เป็น High Value-Added เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละประเทศ และยังช่วยเพิ่มมาร์จิ้นให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ
แผนการดำเนินงานต่อจากนี้ บริษัทวางเป้าหมายสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV ได้แก่ กัมพูชา, ลาว และเมียนมา รวมถึงเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง และยังมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ สามารถตอบโจทย์ความต้องการวัตถุดิบของบริษัทได้เป็นอย่างดี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วยรายได้จากตลาด CLMV อยู่ราว 20% คาดใน 3-5 ปี ข้างหน้า สัดส่วนรายได้ดังกล่าวน่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 30%
ล่าสุด บริษัทได้จัดตั้ง บริษัท ทีดับบลิวพีซี อินเวสเมนท์ (กัมพูชา) จำกัด (TWPC Investment (Cambodia) Company Limited) เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์แป้งมันสำปะหลัง ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของบริษัท และยังมีแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง คาดว่าจะก่อสร้างโรงงานแล้วเสร็จได้ในไตรมาส 3/60
อีกทั้ง บริษัทได้รับอนุญาตจดทะเบียนจัดตั้ง บริษัท ไทยวาเวียดนาม จำกัด (Thai Wah Vietnam Company Limited) เพื่อสร้างโรงงานวุ้นเส้นแห่งแรกในโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จและเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 4/60
บริษัทวางงบลงทุน 3 ปี (ปี 60-62) ไว้ 1-2 พันล้านบาท แบ่งเป็น การขยายกำลังการผลิตแป้งมันสำปะหลังเพิ่มอีก 22,000 ตัน/ปี จากปัจจุบันอยู่ที่ 390,000 ตัน/ปี และจะเพิ่มกำลังการผลิตกลูโคส จากปัจจุบันอยู่ที่ 33,000 ตัน/ปี เป็น 50,000 ตัน/ปี รวมถึงใช้ในการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในประเทศกลุ่ม CLMV เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิต เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวมีวัตถุดิบจำนวนมาก และเป็นพื้นที่ที่เหมาะสำหรับในการปลูกมันสำปะหลัง อีกทั้งยังใช้ในการลงทุนโครงการใหม่ๆอีกด้วย
พร้อมกันนี้ บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อเข้าซื้อกิจการในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อเข้ามาต่อยอดธุรกิจเดิมที่มีอยู่ให้มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้น โดยมองขนาดของธุรกิจจะอยู่ในระดับ 500 ล้านบาท หรือเป็นธุรกิจขนาดเล็ก-กลาง คาดหวังจะเห็นความชัดเจนได้ในปีนี้และปีหน้าราว 1-2 กิจการ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวบริษัทจะคำนึงถึงการรักษาผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ไม่ให้ต่ำกว่า ROE ที่อยู่ 13.60% และ ROA ที่ 15.06% ขณะเดียวกันแหล่งเงินลงทุนทั้งหมดจะมาจากกระแสเงินสดเป็นหลัก จากปัจจุบันมีอยู่ 1,757 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อการรองรับในการขยายธุรกิจ
นายโฮ เรน ฮวา กล่าวต่อว่า สำหรับธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากไบโอแก๊ส ขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าเฟสแรกที่ จ.อุดรธานี กำลังการผลิต 2.8 เมกะวัตต์ คาดว่าจะแล้วเสร็จและจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบได้ในไตรมาส 3/60 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานให้กับบริษัทได้ราว 30 ล้านบาท/ปี
ส่วนโรงไฟฟ้าเฟสที่ 2-3 ที่ จ.กาฬสินธุ์ และ จ.นครราชสีมา คาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในปี 63 และหากสามารถจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ทั้ง 3 เฟส กำลังการผลิตทั้งหมดไม่เกิน 8 เมกะวัตต์ จะส่งผลให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้ 100 ล้านบาท/ปี
นอกจากนั้น บริษัทมีแผนจะเดินทางให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ (โรดโชว์) อย่างต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาโรดโชว์ที่สิงคโปร์ มาเลเซีย และ ฮ่องกงมาแล้ว ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนนักลงทุนต่างชาติถือครองหุ้นเกือบเต็มเพดานราว 50-55% ทำให้มีกองทุนต่างประเทศเข้าแนะนำให้บริษัท เพิ่มเพดานการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากขณะนี้หุ้นของบริษัทมี P/E ที่ต่ำเพียง 14-15 เท่า และปีที่ผ่านมามีการเติบโตของรายได้ราว 12% สูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรม โดยคาดว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทในปีนี้